แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Messages - siritidaphon

หน้า: [1] 2 3 ... 49
1
สร้างทัศนคติอย่างไร ให้เด็กมีความร่วมมือกับการจัดฟันเด็ก

ถ้าหากเราพูดถึงเรื่องของฟันของเด็ก ซึ่งเป็นองค์ประกอบที่มีความสำคัญของใบหน้า พ่อแม่ผู้ปกครองควรดูแลเรื่องสุขภาพฟันของบุตรหลานตั้งแต่ฟันเริ่มขึ้น เพื่อให้บุตรหลานของท่านไม่เกิดปัญหาเกี่ยวกับฟันในระยะยาว ถึงแม้ในปัจจุบันจะมีเทคโนโลยีใหม่ๆเข้ามาช่วยในการรักษาทางทันตกรรม แต่ก็ยังไม่ใช่การแก้ไขปัญหาที่ต้นเหตุ ดังนั้น การดูแลสุขภาพช่องปากและฟันของเด็กให้ดีตั้งแต่ฟันเริ่มขึ้น ถือเป็นวิธีการที่ดีที่สุดที่ทำให้ลูกของเราไม่มีปัญหาในเรื่องของสุขภาพช่องปากและฟัน


สำหรับ สาเหตุที่อาจทำให้บุตรหลานของท่านมีปัญหาเกี่ยวกับฟันนั้น ส่วนหนึ่งก็มาจากพฤติกรรมในวัยเด็ก เช่น การดูดขวดนมในระยะเวลาที่ยาวนาน ซึ่งการดูดขวดนมของเด็ก เขาจะใช้ลิ้นดุนฟันหน้าตลอดเวลาที่ดูดขวดนมจากขวดส่งผลให้ฟันบนบานออก ฟันล่างหุบเข้าไปข้างใน ทำให้เกิดฟันผิดรูป ซึ่งการแก้ไขปัญหาควรให้ลูกดูดนมจากเต้าของแม่จะดีที่สุด นอกจากนี้ พฤติกรรมการดูดนิ้วก็มีผลต่อฟันของเราเช่นเดียวกัน อาจจะส่งผลทำให้เกิดฟันยื่น เพราะนิ้วที่ลูกนำเข้าปาก ก็มีลักษณะคล้ายกับการดูดขวดนมนั่นเอง ต่อมาในเรื่องของความผิดปกติของฟันอาจจะทำให้ฟันหน้าเคลื่อนหรือยื่นออกมาผิดปกติได้ ซึ่งในปัจจุบันสามารถแก้ไขได้ด้วยการจัดฟันในเด็ก


ซึ่งการจัดฟันในเด็กนั้น มักนิยมจัดฟันในช่วงที่มีฟันแท้ขึ้นครบแล้ว นั่นก็คืออายุประมาณ 12 – 13 ปี ซึ่งการเข้ารับการรักษาทางทันตกรรมด้วยวิธีการจัดฟันก็มีด้วยกันหลากหลายช่วงอายุ ได้แก่ วัยเด็กเล็ก วัยเด็กและวัยรุ่น โดยในการจัดฟันในเด็ก ทันตแพทย์จะต้องทำการพิจารณาความผิดปกติและพัฒนาการของกระโหลกศรีษะและใบหน้าร่วมด้วย ถ้าหากมีความผิดปกติของความสัมพันธ์ของกระดูกขากรรไกรบนและล่าง ก็ควรเริ่มรักษาตั้งแต่อายุยังน้อยเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาลุกลามในอนาคต ดังนั้น พ่อแม่ผู้ปกครองควรนำบุตรหลานของท่านที่มีอายุต่ำกว่า 10 ปีมาตรวจกับทันตแพทย์จัดฟันโดยไม่ต้องรอให้ถึงวัยรุ่น


สำหรับการจัดฟันในเด็กนั้น พ่อแม่ผู้ปกครองหลายคน อาจจะมีความกังวลว่า ถ้าหากนำบุตรหลานเข้าพบทันตแพทย์เพื่อเข้ารับการจัดฟันในเด็ก จะส่งผลต่อพัฒนาการของบุตรหลานของท่านหรือไม่ ต้องบอกเลยว่า การพาบุตรหลานของท่านเข้ารับการรักษาด้วยการจัดฟันในเด็กนั้น ไม่ส่งผลต่อพัฒนาการของบุตรหลานของท่านอย่างแน่นอน เพียงแต่บุตรหลานของท่านจะต้องให้ความร่วมมือในการจัดฟันด้วย เพื่อให้ผลการรักษาเป็นไปตามที่ทันตแพทย์ได้กำหนดไว้ ทั้งนี้ การจัดฟันในเด็กนั้น ยังช่วยปรับโครงสร้างของใบหน้าของบุตรหลานของท่าน ช่วยให้เข้าที่มากยิ่งขึ้น


สำหรับการพูดคุยกับบุตรหลานของท่านให้พร้อมรับมือกับการจัดฟันในเด็ก พ่อแม่ผู้ปกครองควรพูดทำความเข้าใจกับบุตรหลานของท่าน ให้ใส่ใจในเรื่องของปัญหาสุขภาพช่องปากและฟันมากยิ่งขึ้น ควรชี้ให้เห็นว่า ถ้าหากเราไม่ดูแลสุขภาพช่องปากและฟัน และเกิดปัญหาฟัน จะมีผลอย่างไร แม้ว่าการจัดฟันในเด็ก อาจไม่ได้จำเป็นสำหรับเด็กทุกคน แต่จะดีกว่ามั้ย ถ้าหากพ่อแม่ผู้ปกครอง พาบุตรหลานของท่านไปตรวจกับทันตแพทย์จัดฟันตั้งแต่อายุยังน้อย และหากพบสัญญาณของความผิดปกติ ก็จะได้รีบแก้ไขตั้งแต่เนิ่นๆ ความผิดปกติหลายอย่างอาจจะยังสามารถแก้ไขได้ หากได้รับการรักษาตอนที่ยังเป็นเด็ก ซึ่งเป็นช่วงที่กระดูกขากรรไกรกำลังเจริญเติบโต เพราะถ้าหากรอให้เด็กโตจนเป็นวัยรุ่น แล้วค่อยมาเข้ารับการจัดฟัน ก็อาจทำให้ความผิดปกติหรือปัญหาฟันที่อาจแก้ไขได้ยิ่งแย่ลง ส่งผลให้การรักษามีความยุ่งยากขึ้นได้


หากพ่อแม่ผู้ปกครองท่านใด สนใจให้บุตรหลานของท่าน เข้ารับการรักษาด้วยการจัดฟันในเด็ก สามารถติดต่อขอรับคำแนะนำได้ที่คลินิก เพราะทางเรามีทันตแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญในด้านสุขภาพช่องปากและฟันของเด็ก คอยให้คำปรึกษาอย่างละเอียด พร้อมทั้งยังช่วยแนะนำวิธีการดูแลรักษาความสะอาดของช่องปากและฟันอย่างถูกวิธี เพื่อให้เด็กได้มีฟันที่แข็งแรง และเติบโตไปเป็นผู้ใหญ่ที่มีสุขภาพช่องปากและฟันที่ดีได้

2
พูดคุยเรื่องทั่วไป / หมอออนไลน์: เบาหวาน (Diabetes mellitus/DM)
« เมื่อ: วันที่ 18 สิงหาคม 2025, 17:46:46 น. »
หมอออนไลน์: เบาหวาน (Diabetes mellitus/DM)

เบาหวาน เป็นโรคที่มีความผิดปกติเกี่ยวกับการนำน้ำตาลไปใช้ประโยชน์อันเกี่ยวเนื่องกับความบกพร่องของฮอร์โมนอินซูลิน (insulin) ทำให้มีระดับน้ำตาลในเลือดสูง ซึ่งก่อให้เกิดอาการและภาวะแทรกซ้อนต่าง ๆ ตามมา

ในบ้านเราพบโรคนี้ประมาณร้อยละ 9 ของประชากรไทยที่มีอายุ 15 ปีขึ้นไป และพบเป็นมากขึ้นตามอายุที่มากขึ้น ผู้ที่มีอายุ 15-29 ปีพบได้ประมาณร้อยละ 2 ในขณะที่อายุ 60-69  ปีขึ้นไปพบได้ถึงร้อยละประมาณ 20

ผู้ที่เป็นเบาหวานมักมีประวัติว่ามีพ่อแม่ หรือญาติพี่น้องเป็นโรคนี้ และมักมีภาวะน้ำหนักเกินร่วมด้วย


สาเหตุ

เกิดจากความพบพร่องของฮอร์โมนอินซูลิน

อินซูลินเป็นฮอร์โมนที่ผลิตโดยตับอ่อน (ส่วนที่เรียกว่า บีตาเซลล์) ทำหน้าที่ช่วยนำน้ำตาลหรือกลูโคสในเลือด (ซึ่งได้จากอาหารที่กิน โดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกแป้ง คาร์โบไฮเดรต ของหวาน) เข้าสู่เซลล์ทั่วร่างกาย เพื่อเผาผลาญให้เป็นพลังงานสำหรับการทำหน้าที่ของอวัยวะต่าง ๆ

ผู้ที่เป็นเบาหวานจะพบว่าตับอ่อนผลิตอินซูลินได้น้อยหรือไม่ได้เลย หรือผลิตได้ปกติ แต่ประสิทธิภาพของอินซูลินลดลง (เรียกว่า ภาวะดื้อต่ออินซูลิน หรือ insulin resistance เช่นที่พบในคนอ้วน) เมื่อขาดอินซูลินหรืออินซูลินทำหน้าที่ไม่ได้ น้ำตาลในเลือดจึงเข้าสู่เซลล์ต่าง ๆ ได้น้อยกว่าปกติ จึงเกิดการคั่งของน้ำตาลในเลือด และน้ำตาลก็ถูกขับออกมาทางปัสสาวะ จึงเรียกว่า เบาหวาน

ผู้ป่วยที่เป็นมาก คือมีระดับน้ำตาลในเลือดสูงมาก มักจะมีอาการปัสสาวะบ่อยและมาก เนื่องจากน้ำตาลที่ออกมาทางไตจะดึงเอาน้ำออกมาด้วย จึงทำให้มีปัสสาวะมากกว่าปกติ เมื่อถ่ายปัสสาวะมาก ก็ทำให้รู้สึกกระหายน้ำต้องคอยดื่มน้ำบ่อย ๆ และเนื่องจากผู้ป่วยไม่สามารถนำน้ำตาลมาเผาผลาญเป็นพลังงานจึงหันมาเผาผลาญกล้ามเนื้อและไขมันแทน ทำให้ร่างกายผ่ายผอม ไม่มีไขมัน กล้ามเนื้อฝ่อลีบ อ่อนเปลี้ยเพลียแรง

นอกจากนี้ การมีน้ำตาลในเลือดสูงนาน ๆ ทำให้อวัยวะต่าง ๆ เกิดการเปลี่ยนแปลงผิดปกติ และนำมาซึ่งภาวะแทรกซ้อนมากมาย

เบาหวานสามารถแบ่งออกเป็นหลายชนิด ซึ่งมีสาเหตุ ความรุนแรง และการรักษาต่างกัน ที่สำคัญได้แก่

1. เบาหวานชนิดที่ 1 (type 1 diabetes mellitus) เป็นชนิดที่พบได้น้อย แต่มีความรุนแรงและอันตรายสูง มักพบในเด็กและผู้ที่อายุต่ำกว่า 20 ปี แต่ก็อาจพบในผู้สูงอายุได้บ้าง ตับอ่อนของผู้ป่วยชนิดนี้จะผลิตอินซูลินไม่ได้เลยหรือได้น้อยมาก เชื่อว่าร่างกายมีการสร้างสารภูมิต้านทานขึ้นต่อต้านทำลายตับอ่อนของตนเองจนไม่สามารถสร้างอินซูลินได้ ดังที่เรียกว่า โรคภูมิต้านตนเอง (autoimmune) ทั้งนี้เป็นผลมาจากความผิดปกติทางกรรมพันธุ์ ร่วมกับการติดเชื้อ หรือการได้รับสารพิษจากภายนอก

ผู้ป่วยจะมีรูปร่างผอม มีอาการของโรคชัดเจน และจำเป็นต้องพึ่งพาการฉีดอินซูลินเข้าทดแทนทุกวันไปตลอดชีวิต จึงจะสามารถเผาผลาญน้ำตาลได้เป็นปกติ มิเช่นนั้นร่างกายจะหันไปเผาผลาญไขมันแทนจนทำให้ผ่ายผอมอย่างรวดเร็ว และถ้าเป็นรุนแรงจะมีการคั่งของสารคีโตน (ketones) ซึ่งเป็นสารที่เกิดจากการเผาผลาญไขมัน สารนี้จะเป็นพิษต่อระบบประสาททำให้ผู้ป่วยหมดสติถึงตายได้รวดเร็ว เรียกว่า ภาวะคั่งสารคีโตน (ketosis)

ผู้ป่วยกลุ่มนี้แต่เดิมเรียกว่า เบาหวานชนิดพึ่งอินซูลิน (insulin-dependent diabetes mellitus/IDDM)

2. เบาหวานชนิดที่ 2 (type 2 diabetes mellitus) เป็นเบาหวานชนิดที่พบเห็นกันเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งมักมีความรุนแรงน้อย มักพบในผู้ที่มีอายุมากกว่า 30 ปีขึ้นไป และมีแนวโน้มพบในเด็ก/วัยรุ่นมากขึ้น ตับอ่อนของผู้ป่วยชนิดนี้ยังสามารถผลิตอินซูลินได้ แต่ไม่เพียงพอกับความต้องการของร่างกาย หรือผลิตได้พอ แต่เกิดภาวะดื้อต่ออินซูลิน จึงทำให้มีน้ำตาลคั่งในเลือดกลายเป็นเบาหวานได้ ผู้ป่วยชนิดนี้มักมีภาวะน้ำหนักเกินหรืออ้วน สาเหตุอาจเกิดจากกรรมพันธุ์หรืออ้วนเกินไป ผู้ป่วยส่วนใหญ่มักไม่มีอาการชัดเจน และมักไม่เกิดภาวะคีโตซีสเช่นที่เกิดกับชนิดที่ 1 การควบคุมอาหารหรือการใช้ยาเบาหวานชนิดกิน มักได้ผลในการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้ปกติได้ หรือบางครั้งถ้าระดับน้ำตาลสูงมาก ๆ ก็อาจต้องใช้อินซูลินฉีดเป็นครั้งคราว ยกเว้นในรายที่ดื้อต่อยากินอาจต้องใช้อินซูลินตลอดไป

ผู้ป่วยกลุ่มนี้แต่เดิมเรียกว่า เบาหวานชนิดไม่พึ่งอินซูลิน (non-insulin-dependent diabetes mellitus /NIDDM) และเนื่องจากเป็นกลุ่มที่พบได้บ่อย เมื่อพูดถึงโรคเบาหวาน จึงมักหมายถึงเบาหวานชนิดนี้

3. เบาหวานที่มีสาเหตุจำเพาะอื่น ๆ อาทิ

    เกิดจากยา เช่น สเตียรอยด์ ยาขับปัสสาวะไทอาไซด์ กรดนิโคตินิก ฮอร์โมนไทรอยด์
    พบร่วมกับโรคหรือภาวะผิดปกติทางกรรมพันธุ์ เช่น

          - พบร่วมกับโรคติดเชื้อ เช่น คางทูม หัดเยอรมันโดยกำเนิด โรคติดเชื้อไวรัสไซโตเมกะโล (cytomegalovirus)
          - พบร่วมกับโรคอื่น ๆ เช่น มะเร็งตับอ่อน ตับอ่อนอักเสบเรื้อรัง ซึ่งมักพบในผู้ที่ดื่มแอลกอฮอล์จัด โรคคุชชิง กลุ่มอาการถุงน้ำรังไข่ชนิดหลายถุง อะโครเมกาลี (acromegaly) ฟีโอโครโมไซโตมา (pheochromocytoma ซึ่งเป็นเนื้องอกของต่อมหมวกไตชนิดหนึ่ง)

ถ้าเกิดจากสาเหตุที่แก้ไขได้ เช่น ผ่าตัดเนื้องอกออกไป หรือหยุดยาที่เป็นต้นเหตุ โรคเบาหวานก็สามารถหายได้

4. เบาหวานขณะตั้งครรภ์ (gestational diabetes mellitus/GDM) ขณะตั้งครรภ์รกสร้างฮอร์โมนหลายชนิดซึ่งเข้าไปในร่างกายหญิงตั้งครรภ์ ทำให้เกิดภาวะดื้อต่ออินซูลิน เป็นเหตุให้มีระดับน้ำตาลในเลือดสูงจนกลายเป็นเบาหวานได้ หลังคลอดระดับน้ำตาลในเลือดมารดามักจะกลับสู่ปกติ

หญิงกลุ่มนี้อาจคลอดทารกตัวโต (น้ำหนักแรกเกิดมากกว่า 4 กก.) มักเป็นเบาหวานซ้ำอีกเมื่อตั้งครรภ์ใหม่ และมีความเสี่ยงต่อการเป็นเบาหวานเรื้อรังตามมาในระยะยาว


อาการ

ในรายที่เป็นไม่มาก ระดับน้ำตาลในเลือดไม่เกิน 200 มก./ดล. ซึ่งพบในกลุ่มเบาหวานชนิดที่ 2 เป็นส่วนใหญ่ ผู้ป่วยจะรู้สึกสบายดีและไม่มีอาการผิดปกติใด ๆ มักตรวจพบโดยบังเอิญจากการตรวจปัสสาวะ หรือตรวจเลือดขณะไปพบแพทย์ด้วยเรื่องอื่น หรือจากการตรวจเช็กสุขภาพ

ในรายที่เป็นมาก ระดับน้ำตาลในเลือดมากกว่า 200 มก./ดล. ซึ่งพบในกลุ่มเบาหวานชนิดที่ 1 และบางส่วนของเบาหวานชนิดที่ 2 ซึ่งเป็นถึงขั้นรุนแรง ผู้ป่วยมีอาการปัสสาวะบ่อยและออกครั้งละมาก ๆ กระหายน้ำบ่อย หิวบ่อยหรือกินข้าวจุ อ่อนเปลี้ยเพลียแรง บางรายอาจสังเกตว่าปัสสาวะมีมดขึ้น

ในรายที่เป็นเบาหวานชนิดที่ 1 อาการต่าง ๆ มักเกิดขึ้นรวดเร็วร่วมกับน้ำหนักตัวลดลงฮวบฮาบ (กินเวลาเป็นสัปดาห์หรือเป็นเดือน) ผู้ป่วยเด็กบางรายอาจมีอาการปัสสาวะรดที่นอนตอนกลางคืน ผู้ป่วยบางรายอาจมาโรงพยาบาลด้วยอาการหมดสติด้วยภาวะคีโตแอซิโดชิส (ketoacidosis) ผู้ป่วยกลุ่มนี้มักมีอายุน้อยและรูปร่างผอม

ในรายที่เป็นเบาหวานชนิดที่ 2 ส่วนใหญ่จะไม่มีอาการแสดงชัดเจน ส่วนน้อยจะมีอาการผิดปกติดังกล่าวข้างต้น น้ำหนักตัวอาจลดลงบ้างเล็กน้อย บางรายอาจมีน้ำหนักขึ้น ผู้ป่วยกลุ่มนี้มักมีภาวะน้ำหนักเกินหรือโรคอ้วนอยู่แต่เดิม ในรายที่เป็นเรื้อรังมานาน (ทั้งที่มีอาการหรือไม่มีอาการปัสสาวะบ่อยมาก่อน) อาจมีอาการคันตามตัว เป็นฝีหรือโรคติดเชื้อราที่ผิวหนังบ่อย หรือเป็นแผลเรื้อรัง หรืออาจมาพบแพทย์ด้วยภาวะแทรกซ้อนอื่น ๆ เช่น ชาหรือปวดแสบปวดร้อนตามปลายมือปลายเท้า ตามัวลงทุกที หรือต้องเปลี่ยนแว่นสายตาบ่อย เจ็บจุกหน้าอกจากโรคหัวใจขาดเลือด อัมพฤกษ์ อัมพาต ภาวะหย่อนสมรรถภาพทางเพศ เป็นต้น


ภาวะแทรกซ้อน

มักเกิดกับผู้ป่วยเบาหวานที่ปล่อยปละละเลย ขาดการรักษา หรือดูแลรักษาไม่ถูกต้อง

ภาวะแทรกซ้อนมีทั้งประเภทเฉียบพลัน (เช่น หมดสติ ติดเชื้อรุนแรง) และประเภทเรื้อรัง

ภาวะแทรกซ้อนประเภทเรื้อรัง มักเกิดในกลุ่มผู้ป่วยที่ควบคุมระดับน้ำตาลไม่ได้อยู่เป็นเวลานาน (บางคนอาจใช้เวลา 5-10 ปีขึ้นไป) ทำให้หลอดเลือดแดงทั้งขนาดเล็กและใหญ่แข็งและตีบตัน ส่งผลให้อวัยวะหลายส่วน (เช่น ตา ไต ระบบประสาท เท้า สมอง หัวใจ) ขาดเลือดไปเลี้ยง เป็นเหตุให้อวัยวะเหล่านี้เสื่อมสมรรถภาพ พิการ หรือเสียหน้าที่

ผู้ป่วยเบาหวานที่ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ไม่ดี มีโอกาสติดเชื้อได้ง่าย เนื่องจากภูมิคุ้มกันโรคต่ำ (เม็ดเลือดขาวทำหน้าที่กำจัดเชื้อโรคได้น้อยลง)

นอกจากนี้ ผู้ป่วยเบาหวานยังก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในลักษณะอื่น ๆ เป็นเหตุให้เกิดภาวะแทรกซ้อนได้อีกหลากหลาย

ในที่นี้จะขอกล่าวถึงภาวะแทรกซ้อนที่สำคัญหรือพบบ่อย ได้แก่

1. ภาวะหมดสติจากเบาหวาน เป็นภาวะแทรกซ้อนที่เกิดขึ้นเฉียบพลันและรุนแรง หากไม่ได้รับการช่วยเหลืออย่างทันท่วงทีอาจเสียชีวิตได้

สาเหตุที่พบได้บ่อย คือ ภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ จะพบในผู้ป่วยเบาหวานที่กินยาหรือฉีดยาเบาหวานสม่ำเสมอ หรือควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ค่อนข้างดีอยู่แต่เดิม ภาวะแทรกซ้อนชนิดนี้มักเกิดจากผู้ป่วยใช้ยาเบาหวานเกินขนาด อดอาหาร กินอาหารน้อยเกินไป หรือกินอาหารผิดเวลานานเกินไป ดื่มแอลกอฮอล์มาก หรือมีการออกแรงกายหนักและนานเกินไป

อาการ ในระยะแรกผู้ป่วยจะรู้สึกหิว ใจสั่น มือสั่น อ่อนเพลีย ปวดศีรษะ เวียนศีรษะ มึนงง คลื่นไส้ หงุดหงิด กระสับกระส่าย เหงื่อออก ตัวเย็น ตาพร่ามัว หรือเห็นภาพซ้อน ถ้าผู้ป่วยรีบกินน้ำตาลหรือน้ำหวาน อาการต่าง ๆ จะทุเลาได้ภายในเวลาสั้น ๆ แต่หากไม่ทำการแก้ไขดังกล่าว ก็จะมีอาการขากรรไกรแข็ง ชักเกร็ง ไม่ค่อยรู้สึกตัวหรือหมดสติ ตรวจเลือดจะพบว่าน้ำตาลในเลือดต่ำ ตรวจปัสสาวะจะไม่พบน้ำตาลในปัสสาวะ (ดูรายละเอียดใน “ภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ”)

นอกจากนี้ ภาวะหมดสติจากเบาหวาน ยังอาจเกิดจากสาเหตุร้ายแรงอื่น ๆ ได้แก่

    ภาวะคีโตแอซิโดซิส (ketoacidosis) พบเฉพาะในผู้ป่วยที่เป็นเบาหวานชนิดที่ 1 ที่ขาดการฉีดอินซูลินนาน ๆ หรือพบในภาวะติดเชื้อหรือได้รับบาดเจ็บ ซึ่งร่างกายต้องการอินซูลินมากขึ้นร่างกายจะมีการเผาผลาญไขมันแทนน้ำตาลทำให้เกิดการคั่งของสารคีโตนในเลือด จนเกิดภาวะเลือดเป็นกรด (เรียกว่า diabetic ketoacidosis/DKA) ผู้ป่วยจะมีอาการคลื่นไส้ อาเจียน กระหายน้ำอย่างมาก หายใจหอบลึก และลมหายใจมีกลิ่นหอม (กลิ่นของสารคีโตน) มีไข้ กระวนกระวาย มีภาวะขาดน้ำรุนแรง (ตาโบ๋ หนังเหี่ยว ความดันต่ำ ชีพจรเบาเร็ว) อาจมีอาการปวดท้อง ท้องเดิน ผู้ป่วยจะซึมลงเรื่อย ๆ จนกระทั่งหมดสติ จะตรวจพบน้ำตาลในเลือดสูง พบน้ำตาลในปัสสาวะและพบสารคีโตนในเลือดและในปัสสาวะ
    ภาวะน้ำตาลในเลือดสูงรุนแรง (non-ketotic hyperglycemic hyperosmolar coma/NKHHC) มักพบในผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 ที่เป็นโรคโดยไม่รู้ตัว หรือที่ขาดการรักษา หรือมีภาวะติดเชื้อรุนแรง (เช่น ปอดอักเสบ กรวยไตอักเสบ โลหิตเป็นพิษ) หรือมีการใช้ยาบางชนิด (เช่น สเตียรอยด์ ยาขับปัสสาวะ) ร่วมด้วย ทำให้มีระดับน้ำตาลในเลือดสูงมาก ๆ (สูงเกิน 600 มก./ดล. ขึ้นไป) ผู้ป่วยจะเกิดภาวะขาดน้ำรุนแรง ซึม เพ้อ ชัก หมดสติ โดยก่อนหน้าจะหมดสติเป็นวันหรือสัปดาห์ ผู้ป่วยจะมีอาการอ่อนเพลีย ปัสสาวะบ่อย กระหายน้ำบ่อย

2. การติดเชื้อ ผู้ป่วยเบาหวานจะเป็นโรคติดเชื้อง่ายเนื่องจากภูมิคุ้มกันต่ำ อาจเป็นการติดเชื้อซ้ำซาก เช่น กระเพาะปัสสาวะอักเสบ กลาก โรคเชื้อราเคนดิดา ช่องคลอดอักเสบ เป็นฝีหรือพุพอง เป็นต้น อาจจะเป็นการติดเชื้อรุนแรง เช่น ปอดอักเสบ กรวยไตอักเสบเฉียบพลัน หูชั้นนอกอักเสบรุนแรง เท้าเป็นแผลติดเชื้อซึ่งอาจลุกลามจนเท้าเน่า เป็นต้น หรืออาจจะเป็นโรคติดเชื้อเรื้อรัง เช่น วัณโรคปอด

3. ภาวะแทรกซ้อนของตา ที่สำคัญคือ จอประสาทตาเสื่อม (retinopathy) เกิดจากการตีบตันของหลอดเลือดแดงขนาดเล็กที่มาเลี้ยงจอประสาทตา ทำให้จอประสาทตาและหลอดเลือดในบริเวณนี้เกิดความผิดปกติแบบค่อยเป็นค่อยไป ในระยะแรกผู้ป่วยจะไม่รู้สึกผิดปกติ จนกระทั่งเป็นมากแล้วก็จะเกิดอาการตามัว ตาบอดได้ ดังนั้นจึงควรไปพบจักษุแพทย์เพื่อตรวจเช็กตาปีละครั้ง (ผู้ป่วยเบาหวานขณะตั้งครรภ์ ควรตรวจตาตั้งแต่อายุครรภ์ 3 เดือนแรก และตรวจเป็นระยะจนกระทั่งหลังคลอด 1 ปี เนื่องจากการตั้งครรภ์อาจทำให้จอประสาทตาเสื่อมมากขึ้น) ถ้าพบเป็นตั้งแต่ระยะแรกเริ่มจะได้ให้การรักษา (ประกอบด้วยการยิงเลเซอร์ไปที่หลอดเลือดที่ผิดปกติ) ป้องกันตาบอด

นอกจากนี้ ยังอาจพบว่าผู้ป่วยเบาหวานเป็นต้อกระจกก่อนวัย หรือต้อหินเรื้อรัง เลือดออกในน้ำวุ้นลูกตา (vitreous hemorrhage) จอตาลอก หลอดเลือดแดงหลักของจอตาอุดตัน ซึ่งถ้าไม่ได้รับการรักษา อาจทำให้ตาบอดได้

4. ภาวะแทรกซ้อนของไต ที่สำคัญ คือ ไตเสื่อม หรือไตวายเรื้อรัง (nephropathy หรือ chronic renal failure) เกิดจากการตีบตันของหลอดเลือดแดงขนาดเล็กที่มาเลี้ยงไต ทำให้ไตเสื่อมลงแบบค่อยเป็นค่อยไปอย่างช้า ๆ ในระยะแรกจะพบว่ามีสารไข่ขาว (แอลบูมิน) หลุดออกมาในปัสสาวะจำนวนน้อย (30-299 มก./วัน ซึ่งเรียกว่า microalbuminuria) ระยะนี้ยังมีทางบำบัดเพื่อป้องกันภาวะไตเสื่อมได้ ดังนั้นจึงควรไปพบแพทย์เพื่อตรวจสารไข่ขาวในปัสสาวะอย่างน้อยปีละครั้ง หากปล่อยปละละเลยจนไตเสื่อมถึงที่สุด ก็จะกลายเป็นไตวายเรื้อรัง ซึ่งในที่สุดอาจต้องทำการฟอกล้างของเสียหรือล้างไต (dialysis) หรือผ่าตัดปลูกถ่ายไต

5. ภาวะแทรกซ้อนของระบบประสาท ได้แก่ ระบบประสาทเสื่อม (neuropathy) เนื่องจากหลอดเลือดแดงขนาดเล็กที่มาเลี้ยงระบบประสาทเกิดการแข็งและตีบ ถ้าเกิดกับประสาทส่วนปลายที่เลี้ยงแขนขา ในระยะแรกอาจมีอาการปลายมือปลายเท้าแสบร้อน หรือเจ็บเหมือนถูกเข็มทิ่มแทง มักเป็นมากตอนกลางคืน จนบางรายนอนไม่หลับ อาการจะทุเลาหรือหายได้เมื่อคุมเบาหวานได้ดี

ถ้าปล่อยให้น้ำตาลในเลือดสูงต่อไปนาน ๆ ก็จะเกิดอาการชาปลายมือปลายเท้า ซึ่งจะค่อย ๆ ลุกลามสูงขึ้นมาเรื่อย ๆ (คล้ายใส่ถุงมือถุงเท้า) อาการชาดังกล่าวเมื่อเกิดขึ้นแล้วจะไม่หายแม้ว่าต่อมาจะคุมเบาหวานได้ดีขึ้นก็ตาม จนในที่สุดจะไม่มีความรู้สึก จึงเกิดบาดแผลที่เท้าง่ายเมื่อเหยียบถูกของมีคมหรือของร้อน ๆ หรือถูกของแหลมทิ่มตำ เมื่อเกิดบาดแผลก็มีโอกาสติดเชื้ออักเสบเนื่องจากภูมิคุ้มกันต่ำ และเนื่องจากมีภาวะขาดเลือดจากภาวะหลอดเลือดแดงแข็งและตีบ ทำให้แผลหายยาก บางครั้งอาจลุกลามรุนแรง หรือเป็นเนื้อเน่าตาย (gangrene) จำเป็นต้องตัดนิ้วเท้าหรือข้อเท้า เกิดความพิการได้ ผู้ป่วยเบาหวานควรหมั่นดูแลเท้าอย่าให้เกิดบาดแผล และหลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่ เพราะจะเสริมให้หลอดเลือดแข็งและตีบมากขึ้น

บางรายอาจมีประสาทเลี้ยงกล้ามเนื้อตาเสื่อม ทำให้กล้ามเนื้อตาเป็นอัมพาต มีอาการตาเหล่ หนังตาตก หลับตาไม่สนิท รูม่านตาขยาย มองเห็นภาพซ้อน อาการเหล่านี้มักหายได้เองภายใน 6-12 สัปดาห์

นอกจากนี้ ยังอาจมีความเสื่อมของระบบประสาทอัตโนมัติ (autonomic neuropathy) ซึ่งควบคุมอวัยวะต่าง ๆ ภายในร่างกาย ทำให้เกิดอาการเวียนศีรษะจากภาวะความดันตกในท่ายืน อาการอาหารไม่ย่อยหรือแสบลิ้นปี่จากโรคกรดไหลย้อน ปวดท้อง ท้องเดิน หรือท้องผูกเรื้อรังจากโรคลำไส้แปรปรวน กระเพาะปัสสาวะหย่อนสมรรถภาพ (ทำให้ถ่ายปัสสาวะออกไม่หมด เกิดกระเพาะปัสสาวะอักเสบเรื้อรัง) ต่อมเหงื่อไม่ทำงาน (ทำให้ผิวแห้ง) องคชาตไม่แข็งตัว (erectile dysfunction ซึ่งนอกจากเกิดจากประสาทที่ไปเลี้ยงองคชาตเสื่อมแล้ว ยังเป็นผลมาจากหลอดเลือดที่ไปเลี้ยงองคชาตเกิดการแข็งและตีบอีกด้วย)

6. ภาวะหลอดเลือดแดงแข็ง (atherosclerosis) ทำให้หลอดเลือดตีบตัน ขาดเลือดไปเลี้ยงอวัยวะสำคัญ ๆ ได้แก่ หัวใจ สมอง ทำให้เกิดโรคหัวใจขาดเลือด โรคหลอดเลือดสมอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้ามีปัจจัยเสี่ยงอื่น ๆ ร่วมด้วย เช่น ความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูงหรือผิดปกติ อ้วน สูบบุหรี่ เป็นต้น ก็ยิ่งมีโอกาสเกิดภาวะแทรกซ้อนเหล่านี้ได้มากยิ่งขึ้น

นอกจากนี้ หลอดเลือดแดงที่ไปเลี้ยงขาและเท้าก็เกิดการตีบตันได้ เรียกว่า "โรคหลอดเลือดแดงขาตีบ" มีภาวะเลือดไปเลี้ยงขาและเท้าไม่พอ ทำให้เกิดอาการปวดขาเวลาเดิน และอาจพบเป็นตะคริวตอนกลางคืนได้บ่อย

7. ภาวะแทรกซ้อนอื่น ๆ ผู้ป่วยเบาหวานยังอาจเป็นปัจจัยของการเกิดโรคอื่น ๆ อีก เช่น สมองเสื่อมหรือโรคอัลไซเมอร์ ภาวะซึมเศร้า หูตึง ภาวะไตรกลีเซอไรด์ในเลือดสูง นิ่วน้ำดี เส้นประสาทมือถูกพังผืดรัดแน่น ภาวะกล้ามเนื้อหัวใจพิการ (cardiomyopathy ซึ่งอาจทำให้เกิดภาวะหัวใจวาย) ได้ ภาวะไขมันสะสมในตับ (fatty liver ซึ่งอาจทำให้กลายเป็นตับแข็งหรือมะเร็งตับ) รวมทั้งมีความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งตับอ่อนมากขึ้น


การวินิจฉัย

สำหรับคนทั่วไป (ที่ไม่ได้ตั้งครรภ์) หากมีอาการของเบาหวาน (เช่น ปัสสาวะบ่อย กระหายน้ำบ่อย) หรือไม่มีอาการแต่ตรวจพบน้ำตาลในปัสสาวะหรือน้ำตาลในเลือดสูงกว่าปกติ หรือเป็นผู้ที่เสี่ยงต่อโรคนี้ (เช่น อ้วน มีญาติสายตรงเป็นเบาหวาน) ควรส่งตรวจเพิ่มเติมเพื่อยืนยันการวินิจฉัย ดังนี้

1. กรณีผู้ป่วยไม่มีอาการแสดง ควรตรวจวัดระดับน้ำตาลในเลือดแบบเจาะที่แขน (venous blood) หลังอดอาหารอย่างน้อย 8 ชั่วโมง (fasting plasma glucose/FPG) ซึ่งสามารถแปลผล ดังนี้

    ถ้าระดับน้ำตาลในเลือดหลังอดอาหาร (FPG) มีค่าต่ำกว่า 100 มก./ดล. ถือว่าปกติ
    ถ้าระดับน้ำตาลในเลือดหลังอดอาหาร (FPG) มีค่าเท่ากับ 100-125 มก./ดล. ถือว่าเป็นระดับน้ำตาลสูงผิดปกติ (impaired fasting glucose/IFG) เรียกว่า กลุ่มเสี่ยงสูงต่อเบาหวาน  (categories of increased risk for diabetes) ควรตรวจยืนยันด้วยการทดสอบความทนต่อน้ำตาล (oral glucose tolerance test/OGTT)*
    ถ้าระดับน้ำตาลในเลือดหลังอดอาหาร (FPG) มีค่าตั้งแต่ 126 มก./ดล. ขึ้นไป หรือระดับน้ำตาลในเลือดหลังดื่มกลูโคส 2 ชั่วโมงมีค่าตั้งแต่ 200 มก./ดล. ขึ้นไป ให้สงสัยว่าอาจเป็นเบาหวาน ควรทำการตรวจวัดระดับน้ำตาลในเลือด (FPG หรือ OGTT แล้วแต่กรณี) ซ้ำอีกครั้งในวันหลัง ถ้ายังมีค่าสูงอยู่ในระดับดังกล่าวอีกก็วินิจฉัยว่าเป็นเบาหวาน

นอกจากนี้ ยังสามารถวินิจฉัยโรคเบาหวานจากการตรวจพบระดับน้ำตาลเฉลี่ยสะสม (HbA1C) มีค่าเท่ากับหรือมากกว่า 6.5%** จากการตรวจ 2 ครั้งในต่างวันกัน

2. กรณีผู้ป่วยมีอาการชัดเจน ควรตรวจวัดระดับน้ำตาลในเลือดแบบสุ่มตรวจ คือ ตรวจได้ทันทีไม่ว่าจะเป็นช่วงเวลาใด ถ้าพบว่ามีค่าตั้งแต่ 200 มก./ดล. ขึ้นไป ก็สามารถวินิจฉัยว่าเป็นเบาหวาน

เกณฑ์การวินิจฉัยโรคเบาหวาน (สำหรับหญิงที่ไม่ได้ตั้งครรภ์)***

1. กรณีผู้ป่วยไม่มีอาการของโรคเบาหวาน จะวินิจฉัยว่าเป็นเบาหวานตามข้อใดข้อหนึ่ง ดังนี้

ก. ระดับน้ำตาลในเลือดหลังอดอาหารอย่างน้อย 8 ชั่วโมง (FPG) มีค่าเท่ากับ 126 มก./ดล. หรือมากกว่าจากการตรวจ 2 ครั้งในต่างวันกัน หรือ

ข. ระดับน้ำตาลเฉลี่ยสะสม (HbA1C) มีค่าเท่ากับ 6.5% หรือมากกว่าจากการตรวจ 2 ครั้งในต่างวันกัน หรือ

ค. ระดับน้ำตาลในเลือดหลังดื่มกลูโคส 2 ชั่วโมง (2-hr plasma glucose) จากการทดสอบความทนต่อกลูโคส (OGTT) โดยการดื่มกลูโคส 75 กรัม มีค่าเท่ากับ 200 มก./ดล. หรือมากกว่าจากการตรวจ 2 ครั้งในต่างวันกัน


2. กรณีผู้ป่วยมีอาการของโรคเบาหวานชัดเจน เช่น ปัสสาวะบ่อย กระหายน้ำบ่อย จะวินิจฉัยว่าเป็นเบาหวานเมื่อ

ก. ระดับน้ำตาลในเลือดแบบสุ่มตรวจ (random plasma glucose) มีค่าเท่ากับ 200 มก./ดล. หรือมากกว่า จากการตรวจเพียงครั้งเดียวในช่วงเวลาใดก็ได้

เกณฑ์การตรวจกรองโรคเบาหวานในผู้ที่ไม่มีอาการแสดง

1. ผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 35 ปีขึ้นไปทุกคน โดยเฉพาะผู้ที่มีภาวะน้ำหนักเกิน (ดัชนีมวลกาย ≥ 23 กก./ม² ถ้าตรวจพบเป็นปกติ ให้ตรวจซ้ำทุก 3 ปี

2. ผู้ที่มีภาวะน้ำหนักเกิน ร่วมกับปัจจัยเสี่ยงข้อใดข้อหนึ่งต่อไปนี้ควรตรวจกรองเบาหวานเมื่ออายุต่ำกว่า 35 ปี หรือควรกรองให้ถี่ขึ้น

    ขาดการออกกำลังกาย
    มีพ่อแม่พี่น้องเป็นเบาหวาน
    เคยตรวจพบว่ามีภาวะเบาหวานแฝง (ระดับน้ำตาลในเลือดหลังอดอาหาร 8 ชั่วโมงมีค่า 100-125 มก./ดล. หรือระดับน้ำตาลในเลือดหลังดื่มกลูโคส 75 กรัมไปแล้ว 2 ชั่วโมง มีค่า 140 -199 มก./ดล.)
    เคยมีประวัติเป็นเบาหวานขณะตั้งครรภ์ (GDM) หรือคลอดบุตรน้ำหนักมากกว่า 4 กก.
    มีความดันโลหิตสูง (≥ 140/90 มม.ปรอทขึ้นไป)
    มีไขมันเอชดีแอล (HDL) <35 มก./ดล. และ/หรือไตรกลีเซอไรด์ >250 มก./ดล.
    มีโรคหรือภาวะอื่น ๆ ที่สัมพันธ์กับภาวะดื้อต่ออินซูลิน เช่น กลุ่มอาการถุงน้ำรังไข่ชนิดหลายถุง ผิวหนังเป็นปื้นหนาสีน้ำตาลหรือดำ (acanthosis nigricans****) เป็นต้น
    มีประวัติเป็นโรคหลอดเลือดแข็งและตีบ (vacular disease)

* วิธีทดสอบ ให้ผู้ป่วยอดอาหารอย่างน้อย 8 ชั่วโมง ทำการตรวจระดับน้ำตาลในเลือดก่อน 1 ครั้ง แล้วให้ผู้ป่วยดื่มน้ำตาลกลูโคส 75 กรัม ทำการตรวจระดับน้ำตาลในเลือดหลังดื่มน้ำตาลไปแล้ว 1, 2 และ 3 ชั่วโมง โดยทั่วไปนิยมใช้ค่าน้ำตาลในเลือดหลังดื่มกลูโคสไปแล้ว 2 ชั่วโมง เป็นเกณฑ์ในการวินิจฉัย (ค่าปกติต่ำกว่า 140 มก./ดล. ถ้ามีค่า 140-199 มก./ดล. ถือว่าเป็น “กลุ่มเสี่ยงสูงต่อเบาหวาน” ถ้ามีค่าตั้งแต่ 200 มก./ดล. ขึ้นไปถือว่าเป็นเบาหวาน) วิธีนี้จะใช้เฉพาะในรายที่ตรวจพบว่ามีระดับน้ำตาลในเลือดหลังอดอาหารสูงผิดปกติ (IFG) และหญิงหลังคลอดที่เคยตรวจพบว่าเป็นเบาหวานขณะตั้งครรภ์ (gestational diabetes mellitus/GDM)
ในการตรวจวัดระดับน้ำตาลในเลือด ถ้าผู้ป่วยมีประวัติกินยาที่อาจทำให้น้ำตาลในเลือดสูงอยู่ก่อน เช่น ยาขับปัสสาวะ ยาเม็ดคุมกำเนิด สเตียรอยด์ กรดนิโคตินิก เฟนิโทอิน เป็นต้น ควรให้ผู้ป่วยงดยาก่อนที่จะทำการตรวจเลือด

** ค่าปกติต่ำกว่า 5% ถ้ามีค่า 5.7-6.4% ถือเป็นกลุ่มเสี่ยงสูงต่อเบาหวาน

***สำหรับหญิงตั้งครรภ์ ใช้เกณฑ์ข้อที่ 1 ก. และ 2 ก. ในการวินิจฉัยได้เช่นเดียวกัน
ส่วนระดับน้ำตาลในเลือดจากการทดสอบความทนต่อกลูโคส โดยการดื่มกลูโคส 100 กรัม (100 g OGTT) ใช้เกณฑ์ดังนี้
1. ระดับน้ำตาลในเลือดหลังอดอาหาร 8 ชั่วโมง ≥ 95 มก./ดล.
2. ระดับน้ำตาลในเลือดหลังดื่มกลูโคส 1 ชั่วโมง ≥ 180 มก./ดล.
3. ระดับน้ำตาลในเลือดหลังดื่มกลูโคส 2 ชั่วโมง ≥ 155 มก./ดล.
4. ระดับน้ำตาลในเลือดหลังดื่มกลูโคส 3 ชั่วโมง ≥ 140 มก./ดล.
การวินิจฉัยภาวะเบาหวานขณะตั้งครรภ์ (GDM) ต้องมีค่าน้ำตาลสูงตามเกณฑ์ดังกล่าว ตั้งแต่ 2 ข้อขึ้นไป

**** ผิวหนังเป็นปื้นหนาสีน้ำตาลหรือดำคล้ายกำมะหยี่ พบบ่อยที่บริเวณหลังคอ รักแร้ ขาหนีบ ข้อนิ้วมือ ใต้นม ต้นขาด้านใน รอบช่องคลอด เป็นต้น ซึ่งมักเป็นพร้อมกันทั้ง 2 ข้าง (แบบสมมาตร) บางครั้งอาจมีติ่งหนัง (skin tag) อยู่ในหรือรอบ ๆ บริเวณที่เป็นปื้นหนา

3
หมอออนไลน์: โรคพยาธิไส้เดือน (Ascariasis)

โรคพยาธิไส้เดือนเป็นโรคที่เกิดจากการติดเชื้อพยาธิไส้เดือน (Ascaris lumbricoides) ซึ่งเป็นพยาธิตัวกลมชนิดหนึ่ง โดยการกินไข่ที่มีตัวอ่อนของพยาธิไส้เดือน* ระยะติดต่อเข้าไปอยูในร่างกาย ทำให้เกิดอาการต่าง ๆ ตามอวัยวะที่ตัวพยาธิเข้าไปอาศัยอยู่

โรคนี้พบได้ในคนทุกวัย แต่จะพบในเด็กมากกว่าผู้ใหญ่ และในเด็กมักมีอาการรุนแรงกว่า เนื่องจากมักจะมีพยาธิในลำไส้เป็นจำนวนมาก

โรคนี้พบมากทางภาคใต้ และอาจพบในภาคอื่น ๆ ได้พอประมาณ

*วงจรชีวิตของพยาธิไส้เดือน

1. พยาธิไส้เดือนตัวเต็มวัย (ตัวแก่) มีรูปร่างคล้ายไส้เดือนสีขาวยาวประมาณ 20-40 ซม. อาศัยอยู่ในลำไส้เล็กของคน ตัวเมียจะออกไข่วันละนับแสนฟอง ซึ่งจะออกมากับอุจจาระ หากคนถ่ายอุจจาระลงพื้นดินหรือในน้ำ ไข่จะอยู่ตามสิ่งแวดล้อม (น้ำ ดิน ทราย ฝุ่นละออง ผักที่ใส่ปุ๋ยทำจากอุจจาระคน)
2. ไข่ที่ไม่ได้รับการผสม แม้คนกินเข้าไปก็ไม่ทำให้เกิดการติดเชื้อ
3. ส่วนไข่ที่ได้รับการผสม จะเจริญเป็นตัวอ่อน (ในไข่) ในเวลา 10-21 วันซึ่งเป็นระยะติดต่อ
4. เมื่อคนกินอาหาร ผัก ผลไม้ น้ำดื่ม หรืออมนิ้วมือที่เปื้อนไข่พยาธิดังกล่าว ก็จะกลืนเอาไข่พยาธิที่มีตัวอ่อนเข้าไปในลำไส้
5. ตัวอ่อนในไข่จะฟักออกมาเกาะอาศัยอยู่ตามลำไส้
6. ตัวอ่อนจะไชทะลุเยื่อเมือกของลำไส้เข้าไปตามระบบไหลเวียนเลือดและระบบน้ำเหลืองเข้าสู่ปอด และเจริญต่อไปภายในปอดซึ่งใช้เวลา 10-14 วัน แล้วไชทะลุผ่านผนังถุงลม เคลื่อนตัวขึ้นไปตามหลอดลมจนถึงคอหอย
7. ตัวอ่อนจะถูกกลืนกลับลงไปในหลอดอาหารและลำไส้อีกครั้งหนึ่ง คราวนี้ตัวอ่อนก็จะเจริญเป็นตัวเต็มวัย และอาศัยอยู่ในลำไส้ ซึ่งสามารถมีชีวิตได้นานถึง 1-2 ปี

สาเหตุ

การติดต่อของโรคนี้ เกิดจากการกลืนไข่พยาธิไส้เดือนระยะติดต่อที่ปนเปื้อนอาหาร ผัก ผลไม้ น้ำดื่ม หรือนิ้วมือ

อาการ

ถ้ามีพยาธิอยู่ในลำไส้จำนวนน้อย มักจะไม่มีอาการอะไร บางรายอาจถ่ายหรืออาเจียนเป็นตัวไส้เดือน

บางรายอาจมีอาการปวดท้องหรืออาเจียนเป็น ๆ หาย ๆ เรื้อรัง โดยมักจะมีอาการหลังกินอาหารสัก 1/2 ชั่วโมง

บางรายอาจแสดงอาการลมพิษเรื้อรัง

ในรายที่มีพยาธิจำนวนมาก เด็กอาจมีอาการผอมแห้งแรงน้อย กินข้าวได้แต่ไม่อ้วนขึ้นหรือกลับผอมลง บางรายอาจมีอาการเบื่ออาหาร ปวดท้อง คลื่นไส้ ท้องเดิน

บางรายมีลักษณะพุงโรก้นปอด ขาดอาหาร

ภาวะแทรกซ้อน

ในเด็กอาจเกิดภาวะขาดอาหาร (เช่น ขาดสารโปรตีน วิตามินเอ) เนื่องจากพยาธิไส้เดือนแย่งอาหารในลำไส้

บางครั้งพยาธิอาจรวมเป็นกระจุก ทำให้เกิดอาการอุดกั้นของลำไส้ มีอาการปวดท้องรุนแรง อาเจียนรุนแรง และคลำได้ก้อนที่หน้าท้อง

พยาธิตัวอ่อนที่เคลื่อนตัวผ่านปอด ถ้ามีจำนวนมากอาจทำให้เกิดอาการไอหรือปอดอักเสบ

บางครั้งพยาธิตัวแก่อาจเคลื่อนตัวเข้าไปอุดกั้นในท่อน้ำดี ทำให้มีอาการดีซ่าน และถุงน้ำดีอักเสบ, เข้าไปในอุดกั้นในท่อตับอ่อนทำให้ตับอ่อนอักเสบ, เข้าไปในตับทำให้เป็นฝีตับ, เข้าไปในรูของไส้ติ่ง ทำให้ไส้ติ่งอักเสบ

ภาวะแทรกซ้อนที่ร้ายแรงแต่พบได้น้อยมาก ได้แก่ เป็นแผลที่ลำไส้และมีเลือดออกรุนแรง ลำไส้ทะลุ ลำไส้เน่า ซึ่งอาจทำให้เสียชีวิตได้

การวินิจฉัย

แพทย์จะวินิจฉัยเบื้องต้นจากอาการบอกเล่า หรือสังเกตเห็นตัวพยาธิที่ถ่ายหรืออาเจียนออกมา จะทำการวินิจฉัยให้แน่ชัด โดยการตรวจพบไข่พยาธิไส้เดือนในอุจจาระ

การรักษาโดยแพทย์

แพทย์จะให้การดูแลรักษา ดังนี้

1. ให้กินยาฆ่าพยาธิ เช่น มีเบนดาโซล, อัลเบนดาโซล เป็นต้น

2. ในรายที่มีภาวะแทรกซ้อน แพทย์จะรับตัวไว้รักษาในโรงพยาบาล อาจจำเป็นต้องรักษาด้วยการผ่าตัดในรายที่เป็นรุนแรง เช่น ลำไส้อุดกั้น ลำไส้ทะลุ ไส้ติ่งอักเสบ เป็นต้น

การดูแลตนเอง

หากสงสัย เช่น อาเจียนหรือถ่ายออกมาเป็นตัวพยาธิไส้เดือน, เด็กมีอาการปวดท้อง ท้องเดินบ่อย, เด็กกินอาหารเก่งแต่น้ำหนักไม่ขึ้น หรือผอมแห้งแรงน้อย พุงโรก้นปอด, เป็นลมพิษเรื้อรัง เป็นต้น ควรปรึกษาแพทย์

เมื่อตรวจพบว่าเป็นโรคพยาธิไส้เดือน ควรดูแลตนเอง ดังนี้

    รักษา กินยา และปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์
    ติดตามรักษากับแพทย์ตามนัด

ควรกลับไปพบแพทย์ก่อนนัด ถ้ามีลักษณะข้อใดข้อหนึ่ง ดังต่อไปนี้

    ดูแลรักษาแล้วอาการไม่ทุเลาใน 1-2 สัปดาห์
    มีอาการปวดท้องรุนแรง อาเจียนรุนแรง ตาเหลืองตัวเหลือง หรือถ่ายเป็นเลือด
    มีอาการปวดท้อง คลื่นไส้ ท้องเดินบ่อย โดยไม่ทราบสาเหตุ
    ขาดยา ยาหาย หรือกินยาไม่ได้
    ในรายที่แพทย์ให้ยากลับไปกินต่อที่บ้าน กินยาแล้วสงสัยเกิดผลข้างเคียงจากยา เช่น มีลมพิษ ผื่นคัน ตุ่มพุพอง ตาบวม ปากบวม ปวดท้อง ท้องเดิน คลื่นไส้ อาเจียน จุดแดงจ้ำเขียว หรือมีอาการผิดปกติอื่น ๆ

การป้องกัน

    ถ่ายอุจจาระในส้วมที่ถูกสุขลักษณะ อย่าถ่ายอุจจาระลงพื้นดินหรือแม่น้ำลำคลอง
    ล้างมือด้วยน้ำกับสบู่ก่อนเตรียมอาหารและกินอาหารทุกครั้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเด็กควรกวดขันให้ล้างมือก่อนกินอาหาร และหลังกลับจากการเล่นที่สนามนอกบ้าน เนื่องเพราะเด็กมักเผลอดูดนิ้วมือเล่น ซึ่งอาจมีไข่พยาธิปนเปื้อนได้
    ล้างผักและผลไม้ให้สะอาดก่อนรับประทานทุกครั้ง ถ้าไม่มั่นใจควรกินผักที่ปรุงสุก และกินผลไม้ที่ปอกเปลือก
    ดื่มน้ำสุกหรือน้ำสะอาด และกินอาหารที่ปรุงสุกและร้อน

ข้อแนะนำ

เด็กที่มีอาการปวดท้องหรืออาเจียนบ่อย กินอาหารเก่งแต่น้ำหนักไม่ขึ้น หรือเป็นลมพิษเรื้อรังโดยไม่ทราบสาเหตุชัดเจน หรือสงสัยว่าอาจเป็นโรคพยาธิไส้เดือน ควรปรึกษาแพทย์เพื่อตรวจดูไข่พยาธิในอุจจาระด้วยกล้องจุลทรรศน์

4
อาการโรคความดันสูงเป็นอย่างไร? อันตรายเงียบ… รู้ไว้ก่อน ป้องกันได้

อาการความดันสูงเป็นอย่างไร   
ความดันโลหิตสูง (Hypertension) เป็นภาวะที่พบบ่อยและส่งผลกระทบต่อประชากรหลายล้านคนทั่วโลก มักถูกขนานนามว่า ” ฆาตกรเงียบ ” เพราะความดันโลหิตสูงมักไม่แสดงอาการใด ๆ แต่หากความดันสูงขั้นรุนแรงอาจแสดงอาการผิดปกติได้ การทราบว่าอาการความดันสูงเป็นอย่างไร? จะช่วยให้สามารถสังเกตสัญญาณความผิดปกติได้

สมาพันธ์ความดันโลหิตสูงโลกได้มีการกำหนดให้วันที่ 17 พ.ค. ของทุกปี เป็น “วันความดันโลหิตสูงโลก” (World Hypertension Day) เพื่อรณรงค์ให้ประชาการโลกตื่นตัวและตระหนักถึงความสำคัญของการป้องกันโรคความดันโลหิตสูง


ทำไมความดันโลหิตสูงถึงมักไม่มีอาการ?

หลาย ๆ คนมีความสงสัยว่า อาการความดันสูงเป็นอย่างไร?  ส่วนใหญ่ผู้ป่วยมักไม่แสดงอาการ ซึ่งการที่ผู้ป่วยส่วนใหญ่ไม่แสดงอาการนั้น เนื่องจากความดันโลหิตสูงเกิดจากแรงดันของเลือดที่ดันที่ผนังหลอดเลือดแดงสูงเกินปกติ แรงดันที่เพิ่มขึ้นนี้สามารถทำลายหลอดเลือดได้หากเป็นเรื้อรัง แต่ร่างกายจะปรับตัวต่อแรงดันที่สูงนี้ได้เอง ซึ่งการปรับตัวนี้เป็นคำอธิบายว่าทำไมคนที่มีความดันโลหิตสูงจึงไม่มีอาการ


ความดันโลหิตสูงเพิ่มความเสี่ยงโรคอื่น ๆ

อย่างไรก็ตาม การไม่มีอาการผิดปกติไม่ได้แปลว่าไม่เป็นอันตราย ความดันโลหิตสูงที่ไม่ได้รับการควบคุมอาจส่งผลร้ายแรงต่อระบบหัวใจและหลอดเลือด และเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคต่าง ๆ เช่น


โรคหัวใจ

ความดันโลหิตสูงทำให้หัวใจทำงานหนักขึ้นเพื่อสูบฉีดเลือดไปทั่วร่างกาย ซึ่งในระยะยาวอาจนำไปสู่โรคหัวใจในที่สุด


โรคหลอดเลือดสมอง

เมื่อมีภาวะความดันโลหิตสูง แรงที่กระทำต่อผนังหลอดเลือดแดงอาจทำให้เสียหาย เสี่ยงต่อการแตกหรืออุดตันได้ง่ายขึ้น ซึ่งหากเกิดหลอดเลือดแดงแตกหรืออุดตันในสมอง อาจทำให้เกิดโรคหลอดเลือดสมองตามมา


โรคไต

ความดันโลหิตสูงอาจทำลายระบบกรองภายในไต นำไปสู่โรคไต


หัวใจล้มเหลว

เมื่อเวลาผ่านไป แรงดันที่สูงอย่างต่อเนื่องส่งผลต่อหัวใจ อาจทำให้หัวใจทำงานได้แย่ลง สูบฉีดเลือดได้ไม่ดี ภาวะนี้เรียกว่า “หัวใจล้มเหลว”


อาการความดันสูงเป็นอย่างไร?

แม้ว่าผู้ป่วยความดันโลหิตสูงส่วนใหญ่มักจะไม่มีอาการที่ชัดเจน แต่บางคนอาจแสดงอาการที่ผิดปกติ อย่างไรก็ตามสัญญาณเหล่านี้มักไม่เฉพาะเจาะจง และอาจเกิดจากโรคอื่น ๆ ได้ แต่หากคุณมีอาการดังต่อไปนี้ ควรต้องไปตรวจวัดความดันโลหิต เพื่อหาว่าเป็นความดันโลหิตสูงหรือไม่


1. ปวดศีรษะ

การปวดศีรษะบ่อยครั้ง โดยเฉพาะในตอนเช้า อาจเป็นสัญญาณเบื้องต้นของความดันโลหิตสูง


2. วิงเวียนหรือรู้สึกหน้ามืด

รู้สึกเหมือนหน้ามืดหรือวิงเวียนเมื่อยืนขึ้น อาจเป็นสัญญาณของความดันโลหิตที่เปลี่ยนแปลง


3. ตาพร่า

มีการเปลี่ยนแปลงของการมองเห็น เช่น ตาพร่ามัวหรือมองไม่เห็นชั่วคราว อาจเป็นอาการที่พบได้น้อยแต่อาจเป็นอาการเตือนของความดันโลหิตสูง


4. อ่อนเพลีย

รู้สึกเหนื่อยง่ายหรืออ่อนเพลียผิดปกติ บางครั้งอาจเกี่ยวข้องกับความดันโลหิตสูง


5.นอนหลับยาก

การนอนหลับไม่สม่ำเสมอและนอนหลับยาก อาจเกี่ยวข้องกับความดันโลหิตสูง


6.เลือดกำเดาไหล

การมีเลือดกำเดาไหลบ่อยครั้ง โดยเฉพาะในเด็ก อาจเป็นสัญญาณเตือนของความดันโลหิตสูง

อย่างไรก็ตาม อาการเหล่านี้อาจเกิดจากภาวะอื่น ๆ ได้ ดังนั้นหากคุณมีอาการเหล่านี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้ามีประวัติคนในครอบครัวเป็นความดันโลหิตสูงหรือมีปัจจัยเสี่ยงอื่น ๆ ควรวัดความดันโลหิตอย่างสม่ำเสมอ


อย่าปล่อยให้ความเงียบหลอกคุณ: การตรวจวินิจฉัยตั้งแต่เนิ่น ๆ คือหัวใจสำคัญของการรักษา

เพราะภาวะความดันโลหิตสูงมักไม่แสดงอาการ ดังนั้นจึงไม่ควรมองข้ามการตรวจวัดความดันโลหิตเป็นประจำอย่างสม่ำเสมอ การตรวจพบตั้งแต่เนิ่น ๆ ช่วยให้การรักษาและการควบคุมอาการทำได้อย่างรวดเร็ว ลดความเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนต่าง ๆ ในอนาคตได้อย่างมาก การตรวจพบตั้งแต่เนิ่น ๆ มีความสำคัญดังนี้

    ป้องกันความเสี่ยงต่อสุขภาพร้ายแรง: การตรวจพบและควบคุมความดันโลหิตสูงตั้งแต่เนิ่น ๆ จะช่วยลดความเสี่ยงต่อโรคหัวใจ โรคหลอดเลือดสมอง โรคไต และภาวะแทรกซ้อนอื่น ๆ ได้อย่างมาก
    ลดความจำเป็นในการใช้ยา: การปรับเปลี่ยนไลฟ์สไตล์ตั้งแต่เนิ่น ๆ อาจเพียงพอที่จะควบคุมความดันโลหิตได้ โดยอาจช่วยให้ชะลอหรือแม้กระทั่งหลีกเลี่ยงการใช้ยาได้
    รักษาสุขภาพโดยรวม: การรักษาระดับความดันโลหิตให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ จะช่วยปกป้องระบบหัวใจและหลอดเลือด และส่งเสริมสุขภาพโดยรวม


การควบคุมความดันโลหิต

แม้ว่าจะพบบ่อยแต่ความดันโลหิตสูงเป็นภาวะที่สามารถควบคุมได้ โดยการปรับเปลี่ยนไลฟ์สไตล์ให้มีสุขภาพดี คุณก็จะสามารถลดความดันโลหิต และลดความเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนต่าง ๆ ได้อย่างมาก ซึ่งทำได้โดย

    รักษาน้ำหนักตัวให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ: ภาวะน้ำหนักเกินหรืออ้วนเป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญของความดันโลหิตสูง การลดน้ำหนัก ก็สามารถช่วยควบคุมความดันโลหิตได้อย่างมาก
    รับประทานอาหารที่มีประโยชน์: เน้นการรับประทานอาหารที่สมดุล ผัก ผลไม้ และธัญพืชไม่ขัดสี หลีกเลี่ยงไขมันอิ่มตัว ไขมันทรานส์ โซเดียม และของหวาน
    ออกกำลังกายเป็นประจำ: ตั้งเป้าหมายออกกำลังกายอย่างน้อย 30 นาที ด้วยความหนักระดับปานกลาง 5 วันต่อสัปดาห์
    ลดความเครียด: ความเครียดเรื้อรังอาจส่งผลต่อความดันโลหิตสูง ลองทำกิจกรรมการจัดการความเครียด เช่น โยคะ การนั่งสมาธิ หรือการฝึกหายใจลึก ๆ
    จำกัดการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์: การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์มากเกินไป อาจทำให้ความดันโลหิตสูงขึ้น
    ไม่สูบบุหรี่: การสูบบุหรี่ทำลายหลอดเลือด และทำให้ความดันโลหิตสูงขึ้น
    ควบคุมโรคประจำตัว: หากคุณมีโรคประจำตัว เช่น เบาหวาน หรือโรคไต ควรพบแพทย์ตามนัดและควบคุมโรคเหล่านั้นไม่ให้รุนแรง เนื่องจากโรคเหล่านี้อาจทำให้ความดันโลหิตสูงรุนแรงขึ้น

สรุป

ความดันโลหิตสูงถือเป็นภัยร้ายที่คุกคามระบบหัวใจและหลอดเลือด ทำให้เสี่ยงต่อโรคหัวใจ หลอดเลือดสมอง ไต และหัวใจล้มเหลว การที่ทราบว่าอาการความดันสูงเป็นอย่างไร? จะช่วยให้ทราบถึงอาการผิดปกติที่อาจเป็นสัญญาณอันตราย สัญญาณเตือนของความดันโลหิตสูงที่ไม่ควรปล่อยละเลย เช่น ปวดศีรษะ วิงเวียนศีรษะ ตาพร่ามัว อ่อนเพลีย นอนหลับยาก และเลือดกำเดาไหล การป้องกันความดันโลหิตสูงสามารถทำได้โดยการหมั่นตรวจวัดความดันเป็นประจำ ควบคุมอาหาร ออกกำลังกาย ลดความเครียด งดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และเลิกสูบบุหรี่ การรักษาสุขภาพและรู้เท่าทันเกี่ยวกับความดันโลหิตสูง เป็นการป้องกันจากโรคร้ายและสร้างสุขภาพที่แข็งแรงให้กับตัวเอง

5
“สร้างเงินแสนจากครัวที่บ้าน” สไตล์ครูแมกซ์

จุดเริ่มต้นเพียงแค่ไม่มีใจรักการเป็นลูกน้อง และไม่ชอบการทำงานในองค์กร บวกกับมีความตั้งใจที่ว่า อยากฝึกทักษะการทำอาหารไว้ทำให้คุณพ่อคุณแม่ทานตอนท่านแก่
พร้อมกับคำพูดของคุณแม่ที่ชอบบอกว่า “การขายของมันได้จับเงินทุกวัน” นั่นคือจุดตัดสินใจ

ครูแมกซ์
จุดเริ่มต้นง่ายๆก็เริ่มจากการเรียนรู้จากคุณแม่ของครูแมกซ์เอง ท่านเป็นคนทำอาหารไทยอร่อย และเคยเปิดร้านอาหารมาก่อนตอนครูแมกซ์เด็กๆ
โดยใช้การถาม สังเกตอย่างละเอียด และฝึกชิมรสชาติของอาหารที่แท้จริง (เพราะคุณแม่ไม่เคยชั่งตวงวัดแม่บอกชิมให้เป็นไม่ต้องมาถามสูตร555)

ร่วมกับการเรียนรู้ผ่านสื่อออนไลน์ เช่น ยูทูป ดูทุกวันตลอดระยะเวลา 8-10ปี พร้อมกับการซื้อวัตถุดิบมาลงมือทำจริง ชิมจริง ทำให้คคุณแม่ทานจริง

ครูแมกซ์
จนถึงจุดที่มั่นใจแล้วว่า…จะทำอาหารเพื่อสร้างรายได้เริ่มง่ายๆจากครัวที่บ้าน
จากประสบการณ์ตลอดระยะเวลา15ปี ที่ครูแมกซ์มีรายได้จากอาหาร ไม่ว่าจะเป็นการยืนขายสลัดริมถนนหน้าตึกชาญอิสะ2 เปิดรับออเดอร์ลุกค้าในหมู่บ้าน การพรีออเดอร์ผ่านทางโซเชียลมีเดีย หรือแม้กระทั่งการออกบูทตามห้างดังต่างๆ

ทั้งหมดนี้ผ่านการทำจริง ได้ผลลัพธ์จริงมาทั้งหมดแล้วด้วยตัวครูแมกซ์เองคนเดียว (แบบไม่เลือกการมีลูกน้อง)

จึงมั่นใจมากว่าจากประสบการณ์ทั้งหมดที่ครูแมกซ์สั่งสมมาตลอดจนถึงวันนี้

ไข่เจียว
ครูแมกซ์ได้พิสูจน์แล้วว่า…การสร้างเงินแสนจากครัวที่บ้าน “มันทำได้จริง”
ครูแมกซ์ก็พร้อมที่จะถ่ายทอดทุกสูตรลัด แบไต๋ทุกเคล็ดลับให้คุณแบบหมดเปลือก!!  !!ความตั้งใจนั้นมันก็ได้เกิด”ผลลัพธ์”กับลูกศิษย์ครูแมกซ์เรียบร้อยแล้ว

📌น้องมิ้นท์ นักเรียนคอร์สไพรเวทจับมือทำรอบสด
ลาออกจากงานประจำเพื่อมาเปิดร้านขายอาหาร หลังจากเรียนกับครูแมกซ์ไปเพียงแค่3วัน น้องได้จับเงินบาทแรกจากอาหารทันที!!
โดยเปิดรับพรีออเดอร์จากอาพาร์ทเมนต์ (โดยมีครูแมกซ์เป็นที่ปรึกษาตลอด1เดือนเต็ม) เริ่มจากเมนูง่ายๆที่ครูแมกซ์เลือกให้เป็นเมนูประจำร้าน คือ “เมนูไข่ฟูหมูฉ่ำนัว”

‼️ล่าสุดเพียงแค่ 2เดือน ยอดขายเดือนกุมภาพันธ์ 68
สรุปได้ยอดขาย 60,000 บาท (ทำด้วยตัวคนเดียว)

📌น้องเติ๊ด นักเรียนคอร์สออนไลน์
เป็นพนักงานประจำหัวหน้าแผนกHR อยากหาอาชีพเสริมเพื่อวางแผนลาออกจากงานประจำ หลังจากเรียนคอร์สครูแมกซ์ภายใน 7 วัน น้องได้จับเงินบาทแรกจากอาหารทันที!!
โดยเปิดรับออเดอร์ที่คอนโด เริ่มจากเมนูง่ายๆที่เรียนจากคอร์สสูตรกะเพรา กับ คอร์ส10เมนูไข่ทำง่ายรายได้ปัง เมนูประจำร้าน คือ “เมนูข้าวไข่เจียว ไข่ข้น”

‼️ล่าสุดเพียงแค่ 2เดือน ยอดขายได้มากกว่าเงินเดือนประจำเป็นที่เรียนร้อยแล้ว พร้อมกับยื่นใบลาออก (แต่นายยังไม่อนุมัติ)


สนใจติดต่อสอบถามข้อมูล
ไลน์ ID  :  @krumax
Page FB : https://web.facebook.com/profile.php?id=61569480015186
เว็บไซด์ : https://krumax.net/krumaxcourse/
เบอร์โทร : 081-413-4479


6
ที่เที่ยวไทย หน้าฝน ใกล้กรุงเทพ 2568 เที่ยวไหนดี บรรยากาศกรีนๆ สดชื่น

เอาใจนักท่องเที่ยวที่รักธรรมชาติกับ ที่เที่ยวหน้าฝน ใกล้กรุงเทพ 2568 บรรยากาศดีๆ รับ Green Season นี้ ให้เราได้ออกไปชิล สูดอากาศดีๆ ใน พื้นที่สีเขียว สัมผัสธรรมชาติกรีนๆ ฉ่ำๆ กันสักหน่อย จะสายลุยหรือสายชิลก็เลิฟเลยค่ะ หน้าฝนนี้ เที่ยวไหนดี จดลิสต์เลย!

1. บางกระเจ้า สมุทรปราการ

      ธรรมชาติสีเขียวหาได้ไม่ไกลจากกรุงเทพฯ ที่ บางกระเจ้า พื้นที่สีเขียวในอำเภอพระประแดง จังหวัดสมุทรปราการค่ะ ที่นี่เปรียบเสมือนปอดกลางกรุงซึ่งมีอากาศบริสุทธิ์ให้สูดได้เต็มปอด และมีกิจกรรมยอดนิยมอย่างการปั่นจักรยานเที่ยวรอบบางกระเจ้า สัมผัสวิถีชุมชน หาของอร่อยๆ ทาน พักผ่อนหย่อนใจในวันหยุด แม้จะมีวันหยุดเพียงวันเดียว ก็เที่ยวได้สบายๆ

    🌿 ที่อยู่ : ตำบลบางกระเจ้า อำเภอพระประแดง จังหวัดสมุทรปราการ
    ⏰ เปิดให้เข้าชม : แตกต่างกันได้ตามแต่ละสถานที่

2. อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่

     ใครชอบเที่ยวภูเขา แต่ไม่อยากเดินทางไกลจากกรุงเทพฯ มากนัก เราขอแนะนำ อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ เลยค่ะ ที่นี่เป็นอุทยานฯ ขนาดใหญ่ที่ครอบคลุมพื้นที่ถึง 4 จังหวัด ได้แก่ สระบุรี นครราชสีมา ปราจีนบุรี และ นครนายก แม้บางส่วนอาจจะปิดไม่ให้ท่องเที่ยวในช่วงหน้าฝน แต่ก็ยังมีอีกหลายส่วนที่สามารถเข้าไปสัมผัสธรรมชาติสวยๆ ได้ค่ะ ไปชมความงามของ น้ำตกเหวสุวัต ชมวิวภูเขาแบบพาโนรามาที่ จุดชมวิวผาเดียวดาย ชมพระอาทิตย์ตกที่ อ่างเก็บน้ำสายศร หรือจะไปส่องสัตว์ป่าก็น่าตื่นเต้นไม่น้อย

    🌿 ที่อยู่ : ตำบลหมูสี อำเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา
    ⏰ เปิดให้เข้าชม : 06.00-18.00 น.

3. วังน้ำเขียว นครราชสีมา

      หน้าฝนแบบนี้ จะขาด วังน้ำเขียว นครราชสีมา ไปไม่ได้เลยค่ะ ด้วยวิวที่สวยงาม โอบล้อมไปด้วยธรรมชาติ และอากาศสดชื่นเย็นสบาย มีแหล่งท่องเที่ยวธรรมชาติมากมายให้เราได้ไปพักใจ ไม่ว่าจะเป็น ผาเก็บตะวัน น้ำตกม่านฟ้า อ่างเก็บน้ำลำพระเพลิง รวมถึงฟาร์มน่ารักๆ ต่างๆ ให้ครอบครัวพาเด็กๆ ไปให้อาหารสัตว์ และถ่ายรูปสวยๆ ด้วย เหมาะสำหรับสายชิลที่ต้องการพักผ่อนแบบไม่ไกลจากกรุงเทพฯ ค่ะ

    🌿 ที่อยู่ : อำเภอวังน้ำเขียว จังหวัดนครราชสีมา
    ⏰ เปิดให้เข้าชม : แตกต่างกันไปแล้วแต่ละสถานที่

4. น้ำตกวังตะไคร้ นครนายก

      ดื่มด่ำกับธรรมชาติและสูดอากาศบริสุทธิ์กันต่อที่ น้ำตกวังตะไคร้ หรือ อุทยานวังตะไคร้ นครนายก ค่ะ อุทยานสวยที่แวดล้อมด้วยต้นไม้ใหญ่และพรรณไม้นานาชนิด มีสายน้ำที่ไหลมาบรรจบกันถึง 2 สายด้วยกัน ซึ่งมีต้นน้ำมาจาก น้ำตกแม่ปล้อง และ น้ำตกเหวกฐิน

     เพลิดเพลินชมธรรมชาติ และสนุกกับการเล่นน้ำ ล่องแก่ง โดยเฉพาะให้ช่วงหน้าฝน ระหว่างเดือนกรกฎาคมถึงเดือนตุลาคม น้ำในลำธารจะไหลเชี่ยว เล่นล่องแก่งได้สนุกมาก แต่ก็ต้องอยู่ในความดูแลของเจ้าหน้าที่เพื่อความปลอดภัยนะคะ นอกจากนี้ก็ยังมีกิจกรรมผจญภัยต่างๆ มากมายให้เราไปสนุกกันได้เต็มที่

    🌿 ที่อยู่ :  ตำบลหินตั้ง อำเภอเมืองนครนายก จังหวัดนครนายก
    ⏰ เปิดให้เข้าชม : 08.00-17.00 น.

5. เขื่อนขุนด่านปราการชล นครนายก

     เขื่อนขุนด่านปราการชล ที่เที่ยวนครนายก ที่เป็นที่นิยมมากๆ เพราะเป็น ที่เที่ยวใกล้กรุงเทพฯ และมีธรรมชาติที่สวยงามค่ะ เขื่อนยังมีแหล่งท่องเที่ยวมากมาย ทั้งน้ำตก และภูเขา โดยมีไฮไลท์เป็น น้ำตกช่องลม โอบล้อมไปด้วยเนินเขาสีเขียว โขดหิน และลำธาร บรรยากาศสดชื่น ชุมฉ่ำสุดๆ ในช่วงหน้าฝน แถมยังวิวสวย ถ่ายรูปปังสุดๆ

    🌿 ที่อยู่ : บ้านท่าด่าน ตำบลหินตั้ง อำเภอเมืองนครนายก จังหวัดนครนายก
    ⏰ เปิดให้เข้าชม : 07.00-17.00 น.

6. ทุ่งโปรงทอง ระยอง

     เที่ยวชมป่าสีเขียวและทองอร่ามของ ทุ่งโปรงทอง ปากน้ำประแส จังหวัดระยอง แหล่งท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ที่นอกจากจะเป็นป่าชายเลน แหล่งอนุบาลสัตว์น้ำขนาดเล็กแล้ว ยังมีความสวยงามน่าทึ่ง ด้วยป่าโกงกางและไม้โปรงที่ขึ้นเขียวขจี ส่งผลให้บริเวณนี้ร่มรื่น เย็นสดชื่น มองดูแล้วสบายตา โดยเฉพาะอย่างยิ่งช่วงเย็นที่พระอาทิตย์กำลังจะลับขอบฟ้า ส่องแสงสะท้อนป่าแห่งนี้จนเป็นสีทองสวยจับใจเลยค่ะ

    🌿 ที่อยู่ : ตำบลปากน้ำกระแส อำเภอแกลง จังหวัดระยอง
    ⏰ เปิดให้บริการ : 06.00-18.00 น.
    🖱 เว็บไซต์ : -

7. สวนพฤกษศาสตร์ระยอง ระยอง

     สวนพฤกษศาสตร์ระยอง ที่เที่ยวธรรมชาติระยอง ที่ก่อตั้งขึ้นเพื่อเป็นศูนย์ศึกษาวิจัยและรวบรวมพรรณไม้ของ ภาคตะวันออก รวมถึงอนุรักษ์ทรัพยากรพันธุ์พืช โดยเฉพาะสภาพนิเวศวิทยาของพื้นที่ชุ่มน้ำและป่าเสม็ดค่ะ นอกจากนี้ ที่นี่ยังเป็น ที่เที่ยวระยอง ที่น่าสนใจไม่แพ้การไปเที่ยวทะเลที่อื่นๆ เลย

     นักท่องเที่ยว คนรักธรรมชาตินิยมมาปั่นจักยานศึกษาธรรมชาติ พายเรือคายัก ล่องเรือชมธรรมชาติพื้นที่ชุ่มน้ำ และชม ป่าเสม็ดดึกดำบรรพ์ ซึ่งเป็นป่าเสม็ดขาวผืนสุดท้ายของภาคตะวันออกที่มีความสมบูรณ์นั่นเอง เรียกว่าได้ทั้งศึกษาและชมธรรมชาติ และถ่ายรูปสวยๆ ไปในเวลาเดียวกันเลย

    🌿 ที่อยู่ : หมู่ 2 ตำบลชากพง อำเภอแกลง จังหวัดระยอง
    ⏰ เปิดให้เข้าชม : 08.30-16.30 น.

8. แพริมน้ำ กาญจนบุรี

      หนีร้อนไป นอนแพ ที่ กาญจนบุรี กันดีกว่า ใครที่อยากสัมผัสธรรมชาติของเมืองสายน้ำ ที่นี่มีแพให้เลือกพักหลายแห่งทีเดียว นอกจากนี้ก็ยังมีรีสอร์ทริมแม่น้ำแคว ดื่มด่ำวิวสวยๆ ของขุนเขาและสายน้ำ ล่องแพไปเล่นน้ำ พายเรือคายัก หรือปั่นจักรยานเที่ยว ก็เป็นทริปที่สนุกไม่น้อย ยิ่งช่วงหน้าฝนแบบนี้ เราจะได้เห็นสายหมอกริมแม่น้ำให้ได้สดชื่นใจกันอีกด้วย

    🌿 ที่อยู่ : จังหวัดกาญจนบุรี
    📍 พิกัด : ริมแม่น้ำแคว และ เขื่อนศรีนครินทร์
    ⏰ เปิดให้บริการ : แตกต่างกันไปตามแต่ละสถานที่

9. อุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน เพชรบุรี

      อุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน เป็นผืนป่าที่มีความอุดมสมบูรณ์ เป็นต้นน้ำของแม่น้ำเพชรบุรีและแม่น้ำปราณบุรี และที่อยู่อาศัยของสัตว์ป่ามากมายหลายชนิดค่ะ อีกทั้งยังเป็นแหล่งท่องเที่ยวธรรมชาติที่สวยงาม จนได้รับการขึ้นทะเบียนจาก UNESCO ให้เป็น มรดกโลกทางธรรมชาติ แห่งที่ 6 ของประเทศไทย ไฮไลท์ของอุทยานแห่งชาติแก่งกระจานคือ กางเต็นท์นอนดับดาว ตื่นเช้ามาชมทะเลหมอกที่ เขาพะเนินทุ่ง ชมผีเสื้อหลากสีที่ แคมป์บ้านกร่าง และเดินเล่นชมวิวที่ เขื่อนแก่งกระจาน

    🌿 ที่อยู่ : ตำบลแก่งกระจาน อำเภอแก่งกระจาน จังหวัดเพชรบุรี
    ⏰ เปิดให้เข้าชม : 06.00-18.00 น.

10. ห้วยขาแข้ง อุทัยธานี

     เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้ง หรือ ห้วยขาแข้ง เป็น มรดกโลกทางธรรมชาติ อีกแห่งหนึ่งในเมืองไทยที่มีพื้นที่ครอบคลุมถึง3 จังหวัดด้วยกัน ได้แก่ อุทัยธานี กาญจนบุรี และ ตาก ค่ะ ซึ่งมีการรวมพื้นที่ของ เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวร ด้วย ทำให้ที่นี่เป็นผืนป่าอนุรักษ์ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เลยทีเดียว

      ภายในห้วยขาแข้งนั้นมีกิจกรรม และพิกัดท่องเที่ยวมากมาย ไม่ว่าจะเป็น เดินเล่นตามเส้นทางเดินศึกษาธรรมชาติ เรียนรู้เกี่ยวกับผืนป่าและสัตว์ป่าที่ อาคารมรดกโลกทุ่งใหญ่นเรศวร-ห้วยขาแข้ง ส่องสัตว์ที่ โป่งช้างเผือก และ ริมห้วยทับเสลา หรือ กางเต็นท์พักแรมในป่าห้วยขาแข้งตามพื้นที่ที่อนุญาตก็ได้เช่นกันค่ะ เชื่อว่าสายลุยและสายเที่ยวธรรมชาติจะต้องชื่นชอบอย่างแน่นอน

    🌿 ที่อยู่ : ตำบลระบำ อำเภอลานสัก จังหวัดอุทัยธานี
    ⏰ เปิดให้เข้าชม : 08.00-16.30 น.

11. หุบป่าตาด อุทัยธานี

     หุบป่าตาด อุทัยธานี ป่าดึกดำบรรพ์ที่ซุกซ่อนอยู่ใน ถ้ำหินปูนขนาดใหญ่ อายุเก่าแก่ถึง 245-286 ล้านปี ซึ่งเกิดจากการกัดเซาะของน้ำฝนเป็นเวลานาน ก่อให้เกิดเป็นโพรงถ้ำขนาดใหญ่ เมื่อเพดานหินพังทลายลงมา พืชพรรณที่อยู่ด้านบนก็ร่วงหล่นลงมาด้วย ก่อให้เกิดเป็นป่าภายในโพรงถ้ำ หากจะเข้าไปที่ป่าแห่งนี้จะต้องเดินผ่านถ้ำก่อน ให้ฟีลเหมือนผจญภัยในโลกดึกดำบรรพ์อย่างนั้นเลย แถมยังมีไฮไลท์เป็น กิ้งกือมังกรสีชมพู ด้วย ลองไปเดินส่องน้องดูได้นะคะ

    🌿 ที่ตั้ง : หุบป่าตาด อำเภอลานสัก จังหวัดอุทัยธานี
    ⏰ เปิดให้เข้าชม : 08.30-16.00 น.

12. น้ำตกเจ็ดสาวน้อย สระบุรี

      ที่เที่ยวหน้าฝน ใกล้กรุงเทพฯ ที่อยากแนะนำให้มาเที่ยวเล่นกันเลยก็คือ น้ำตกเจ็ดสาวน้อย สถานที่ท่องเที่ยวชื่อดังแห่ง อำเภอมวกเหล็ก จังหวัดสระบุรีค่ะ ที่นี่เป็นน้ำตกชั้นเตี้ยๆ จำนวน 7 ชั้น แต่ละชั้นมีความสูงตั้งแต่ 2-5 เมตร สายน้ำสีสวยไหลลดหลั่นกันลงมาเป็นธารน้ำตกกว้าง ให้ฟีลชุ่มฉ่ำมากๆ ทีเดียว ใครที่อยากเปลี่ยนบรรยากาศไปสูดกลิ่นอายธรรมชาติใกล้กรุงเทพฯ ต้องมาที่นี่เลยค่ะ

    🌿 ที่อยู่ : หมู่ 9 ตำบลมวกเหล็ก อำเภอมวกเหล็ก จังหวัดสระบุรี
    ⏰ เปิดให้เข้าชม : 08.00-17.00 น.

13. อ่างเก็บน้ำมวกเหล็ก สระบุรี

     อ่างเก็บน้ำมวกเหล็ก สระบุรี เขื่อนดินที่ใช้เป็นแหล่งน้ำสำหรับการผลิตน้ำประปา และยังเป็นที่เที่ยวอีกแห่งของสระบุรีด้วยค่ะ เพราะมีถนนเลียบสันเขื่อนสำหรับให้มา ปั่นจักรยาน หรือ วิ่งออกกำลังกาย รีแลกซ์ชมวิวภูเขาสวยๆ ระหว่างทางค่ะ ทำให้ที่นี่เป็นอีกจุดชมวิวที่สวยงาม บรรยากาศดี เหมาะแก่การมาพักผ่อนชิลๆ ใกล้กรุงเทพฯ ค่ะ

    🌿 ที่อยู่ : อ่างเก็บน้ำมวกเหล็ก ตำบลคำพราน อำเภอวังม่วง จังหวัดสระบุรี
    ⏰ เปิดให้เข้าชม : 08.00-18.00 น.
    🖱 เว็บไซต์ : -

14. อ่างเก็บน้ำซับเหล็ก ลพบุรี

     กินลมชมวิวที่ อ่างเก็บน้ำซับเหล็ก หรือ ห้วยซับเหล็ก ที่เที่ยวธรรมชาติ ลพบุรี ซึ่งมีพื้นที่กว้างใหญ่จนถูกยกให้เป็นทะเลน้ำจืดกลางเมืองลพบุรีอีกด้วย เสน่ห์ของอ่างเก็บน้ำแห่งนี้คือทิวทัศน์ของผืนน้ำอันกว้างใหญ่ โดยมี เขาจีนแล เขาตะกร้า และ เขาพญาเดินธง โดดเด่นสง่างามเป็นพื้นหลัง เหมาะกับการไปพักผ่อน สัมผัสลมเย็นๆ ท่ามกลางธรรมชาติสวยๆ ให้เราได้ไปชมธรรมชาติ ถ่ายรูปกันเพลินๆ ค่ะ

    🌿 ที่อยู่ : ตำบลนิคมสร้างตนเอง อำเภอเมืองลพบุรี จังหวัดลพบุรี
    ⏰ เปิดให้เข้าชม : สามารถเที่ยวชมได้ตลอดทั้งวัน
    🖱 เว็บไซต์ : -

15. น้ำตกวังก้านเหลือง ลพบุรี

     ที่เที่ยวธรรมชาติลพบุรี น่าไปเที่ยวไม่แพ้อีกแห่งหนึ่งก็คือ น้ำตกวังก้านเหลือง ซึ่งตั้งอยู่ใน สวนรุกขชาติวังก้านเหลือง เขตป่าสงวนแห่งชาติชัยบาดาล ค่ะ ที่นี่เป็นน้ำตกขนาดไม่ใหญ่มาก มีน้ำไหลตลอดปี แต่มีลักษณะพิเศษก็คือ ต้นน้ำของน้ำตกแห่งนี้มาจากตาน้ำที่อยู่ใต้ดิน ขนาดใหญ่มากๆ จำนวนหลายจุดด้วยกัน ซึ่งผุดขึ้นมาจากลำห้วยมะกอกนั่นเองค่ะ ไม่ได้เป็นน้ำตกที่ไหลลั่นลงมาตามหน้าผา น้ำผุดแห่งนี้ จะไหลเป็นทางเป็นระยะประมาณ 1 กิโลเมตรด้วยกัน แล้วค่อยมารวมกันที่บริเวณสันหินปูน กลายเป็นน้ำตกลงมาสวยงาม

    🌿 ที่อยู่ : ตำบลท่าดินดำ อำเภอชัยบาดาล จังหวัดลพบุรี
    ⏰ เปิดให้เข้าชม : 08.00-18.00 น.
    🖱 เว็บไซต์ : -

7
ผลกระทบที่เกิดขึ้นจากเสียงดัง
ในโรงงานอุตสาหกรรม
โรงงานหรือสถานประกอบกิจการที่มีปัญหาด้านเสียงเกินค่ามาตรฐาน อาจสร้างผลกระทบทั้งด้านอาชีวอนามัยและความปลอดภัยในการทำงานต่อพนักงานในโรงงานเอง หรืออาจก่อให้เกิดมลพิษทางเสียงต่อชุมชนและสภาพแวดล้อมที่อยู่ด้านนอกโรงงาน หากเจ้าของแหล่งกำเนิดเสียงหรือผู้เกี่ยวข้องปล่อยปละละเลย ไม่จัดทำโครงการควบคุมเสียงหรือแก้ไขปัญหาดังกล่าวไม่สำเร็จ จะทำให้มีผลกระทบตามมา เช่น
•   เป็นผู้กระทำผิดกฎหมายด้านเสียง มีทั้งโทษปรับและจำคุก
•   ลูกจ้างอาจเกิดภาวะสูญเสียการได้ยินแบบชั่วคราวหรือแบบถาวร
•   ประสิทธิภาพการทำงานของพนักงานลดลงจากเสียงเกินค่ามาตรฐาน
•   ถูกร้องเรียนจากชุมชนหรือผู้ได้รับผลกระทบทางเสียงที่อยู่นอกโรงงาน
•   โรงงานหรือสถานประกอบกิจการอาจถูกสั่งปิดปรับปรุง จนกว่าจะแก้ไขแล้วเสร็จ

ทำไมต้องใช้บริการจาก
“NEWTECH INSULATION” ในการควบคุมเสียง?
ด้วยประสบการณ์กว่า 15 ปี ในการควบคุมเสียงอุตสาหกรรม เรามีความพร้อมทั้งด้านบุคลากรเฉพาะทางที่มีความรู้ด้านเสียงและความสั่นสะเทือน เครื่องมืออันทันสมัยที่ได้มาตรฐานตามที่กฎหมายกำหนด รวมถึงประสบการณ์ด้านการแก้ไขปัญหาเสียงอุตสาหกรรมที่มีทั้งในและต่างประเทศ ผู้ใช้บริการจึงมั่นใจได้ว่าปัญหาด้านเสียงในโรงงานหรือสถานประกอบกิจการจะได้รับการแก้ไขได้อย่างตรงจุด ด้วยค่าใช้จ่ายที่น้อยที่สุด เพราะเราเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการควบคุมเสียงในอุตสาหกรรม
– บริษัทฯ ขึ้นทะเบียนและได้รับใบอนุญาตเป็นนิติบุคคลผู้ให้บริการตรวจวัดและวิเคราะห์สภาวะการทำงานเกี่ยวกับระดับเสียง โดยกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน
– บุคลากรของบริษัทฯ ได้รับใบอนุญาตเป็นผู้ควบคุมมลพิษเสียงและความสั่นสะเทือน จากสภาวิชาชีพวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
– มีทีมงานที่มากประสบการณ์และความรู้ ได้แก่ วิศวกร นักสิ่งแวดล้อมอุตสาหกรรม เจ้าหน้าที่ความปลอดภัยในการทำงาน ช่างเทคนิค รวมไปถึงช่างประกอบและติดตั้งระบบควบคุมเสียง
– มีเครื่องมือที่ได้มาตรฐานไว้ให้บริการทั้งด้านฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์
– มีสินค้าสำหรับควบคุมเสียงและความสั่นสะเทือนให้เลือกหลากหลายรูปแบบ เช่น ผนังกันเสียง ห้องเก็บเสียง ม่านกันเสียง ตู้ครอบลดเสียง แจ็คเก็ตลดเสียง ไซเลนเซอร์ อคูสติคลูเวอร์ อุปกรณ์แยกความสั่นสะเทือน เป็นต้น
– มีการประเมินหรือทำตัวแบบจำลองระดับเสียง ก่อน-หลัง ปรับปรุงให้ลูกค้าใช้เป็นข้อมูลในการตัดสินใจ ช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายและเวลาในการแก้ปัญหาด้านเสียง
– รับประกันระดับเสียงที่ลดลง อยู่ในเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนด
– รับประกันคุณภาพสินค้าและฝีมือการติดตั้งทุกงาน

บริษัท นิวเทค อินซูเลชั่น จำกัด
ผู้เชี่ยวชาญด้านการควบคุมเสียงในโรงงานอุตสาหกรรม
จากประสบการณ์ในการแก้ไขปัญหาด้านเสียงมายาวนาน ไม่ว่าจะเป็นเสียงทางอาชีวอนามัยและความปลอดภัยในการทำงาน และเสียงทางสิ่งแวดล้อม
ทางบริษัทฯ ยินดีให้คำแนะนำที่ทำได้จริงสำหรับการแก้ปัญหาด้านมลภาวะทางเสียงที่เกิดขึ้น เพื่อให้ทั้งโรงงาน พนักงาน หรือชุมชนโดยรอบอยู่ร่วมกันได้
“เพราะเรา…เข้าใจเรื่องเสียง”


สนใจสั่งซื้อ
เบอร์โทร:  02-583-8035 , 02-583-8034, 098-995-4650
E-mail: contact@newtechinsulation.com
Line ID: @newtechinsulation
Facebook: newtechthai
Instagram: newtechinsulation
เว็บไซด์: https://www.noisecontrol365.com/


8
ต้องแปรงฟันหรือดูแลช่องปากอย่างไร เมื่อเด็กต้องเข้ารับการจัดฟันเด็ก

การดูแลรักษาความสะอาดของช่องปกและฟัน ถือว่าเปานกิจวัตรประวันที่เราต้องทำทุกวัน ไม่ว่าจะเป็นวัยไหน การมีสุขภาพช่องปากและฟันที่ดี ก็ถือว่าช่วยทำให้สามารถใช้ชีวิตประจำวันได้อย่างเต็มที่และมั่นใจมากขึ้น เพราะฉะนั้น พ่อแม่ผู้ปกครอง ก็ควรที่จะดูแลสุขภาพปากและฟันของตัวคุณเองที่ดี เพื่อแสดงให้เด็กเห็นว่าสุขภาพปากและฟันเป็นสิ่งที่มีค่า และดียิ่งขึ้นถ้าคุณช่วยสร้างบรรยากาศให้กับการดูแลสุขภาพปากและฟันเป็นเรื่องสนุก เช่น การแปรงฟันไปกับลูกของคุณ การให้เด็กเลือกแปรงสีฟันด้วยตนเอง ก็เป็นการช่วยสนับสนุนการดูแลสุขภาพปากและฟันอย่างเหมาะสมกับเด็กได้ การปลูกฝังทัศนคติที่ดีในการดูแลรักษาฟัน จะช่วยให้เด็กได้เข้าใจว่า การที่เรามีฟันที่แข็งแรงนั้น ก็จะช่วยทำให้เรามีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ดังนั้น การปลูกฝังหรือสร้างทัศนคติที่ดี จึงเป็นเรื่องที่สำคัญมาก ยิ่งในวัยเด็ก เมื่อเราปลูกฝังอะไรเข้าไป เด็กก็จะรับรู้และเอาไปเป็นตัวอย่าง โดยพ่อแม่ผู้ปกครอง อาจจะเริ่มต้นด้วยการแปรงฟันให้ลูกดูอย่างถูกวิธี สอนให้ลูกแปรงฟันอย่างถูกต้อง เพียงเท่านี้ก็จะช่วยสร้างทัศนคติที่ดีเกี่ยวกับการดูแลรักษาความสะอาดของช่องปากและฟันในเด็กได้แล้ว

นอกจากนี้ หากเด็กมีปัญหาเกี่ยวกับสุขภาพช่องปากและฟัน พ่อแม่ผู้ปกครองควรที่จะพาบุตรหลานของท่านเข้ารับการแก้ไขทันทีไม่ควรปล่อยไว้ให้ปัญหาฟันลุกลามจนอาจจะทำให้เกิดผลเสียได้ หากลูกมีความผิดปกติเกี่ยวกับรูปร่างฟัน การขึ้นของฟัน ก็สามารถพาบุตรหลานของท่านเข้าพบทันตแพทย์เพื่อเข้ารับการจัดฟันในเด็กได้ แต่หลายคนอาจจะยังมีความกังวลที่ว่า เมื่อเด็กจะต้องเข้ารับการจัดฟันในเด็กแล้ว ในเรื่องของของการแปรงฟัน หรือการทำความสะอาดช่องปากและฟัน ควรจะดูแลอย่าไร เพื่อไม่ให้เด็กมีฟันผุ เพราะหลายคนอาจจะคิดว่า การเข้ารับการจัดฟันนั้น ดุแลรักษาความสะอาดยาก ทั้งเรื่องของการรับประทานอาหารและการแปรงฟัน อาจจะทำให้เด็กไม่สามารถทำความสะอาดช่องปากและฟันได้อย่างทั่วถึง ดังนั้น วันนี้ทางคลินิกของเราจะมาพูดถึงการทำความสะอาดและการดูลสุขภาพช่องปากและฟัน เมื่อเด็กต้องเข้ารับการจัดฟันในเด็ก

สำหรับเรื่องของการแปรงฟันในเด็กที่เข้ารับการจัดฟันนั้น เด็กสามารถการแปรงฟันได้เช่นเดิม แต่ต้องมีการแปรงที่ตัวฟันเพิ่มมากขึ้น เช่น ควรที่จะใช้ไหมขัดฟันร้อยไปตามตัวลวดแล้วขัดฟัน ต่อมาจากนั้น แปรงซอกฟันเพื่อทำความสะอาดขอบข้างของเครื่องมือจัดฟัน การแปรงลิ้น และทำความสะอาดกระพุ้งแก้ม ซึ่งการจัดฟันในเด็กนั้น พ่อแม่อาจจะคอยให้คำแนะนำระหว่างที่เด็กกำลังแปรงฟันได้ เพื่อสอนให้เด็กแปงฟันได้อย่างทั่วถึงและสะอาด เพราะเครื่องมือการจัดฟัน อาจจะทำให้เด็กแปรงฟันได้ยากกว่าเดิม หรือควรใช้ไหมขัดฟันก่อนแปรงฟัน เพื่อเป็นการขจัดเชื้อโรคไปด้วย แล้วจึงแปรงฟันด้วยแปรงขนนุ่ม โดยเลือกขนาดของแปรงให้เหมาะกับช่องปากและฟัน สำหรับยาสีฟัน ควรใช้ยาสีฟันที่มีส่วนผสมของฟลูออไรด์เพื่อป้องกันฟันผุ และแนะนำให้แปรงแห้งคือ บ้วนปาก บีบยาสีฟันแล้วแปรง บ้วนยาสีฟันส่วนเกินออก หลังแปรงไม่บ้วนปาก เพราะจะทำให้ฟลูออไรด์ส่วนที่มากับยาสีฟันจะได้จับกับตัวฟันได้ดีนั่นเอง

อย่างไรก็ตาม พ่อแม่ผู้ปกคองที่ควรเอาใจใส่ในเรื่องของการทำความสะอาดช่องปากและฟันของเด็กให้มากเป็นพิเศษ เพื่อที่เด็กจะได้มีสุขภาพฟันที่แข็งแรง หากพ่อแม่ผู้ปกครองท่านใด สนใจพาบุตรหลานของท่านเข้ารับการจัดฟันในเด็ก สามารถติดต่อขอรับคำแนะนำได้ที่คลินิกเพราะทางเรามีทีมัทนตแพทย์ที่มีคงวามเชี่ยวชาญด้านทันตกรรมในเด็ก จึงคอยให้คำแนะนำในเรื่องของการแปรงฟัน การดูแลรักษาฟันได้อย่างถูกต้อง นอกจากนี้ ทันตแแพทย์ของเรายังมีประสบการณ์ด้านทันตกรรมครบจรมาอย่างยาวนาน จึงทำให้สามารถรักษาฟันได้อย่างมีประสิทธิภาพ จึงมั่นจได้ว่า บุตรหลานของท่านจะมีสุขภาพช่องปากและฟันที่ดีขึ้นได้อย่าแน่นอน เพื่อที่จะได้เติบโตไปเป้นผู้ใหญ่ที่มีคุณภาพชีวิตที่ดี

9
อาหารไทยทำง่าย เป็นอาชีพเสริมขายได้แม้ไม่มีหน้าร้านขึ้นอยู่กับความถนัดและกลุ่มเป้าหมายของคุณ

อาหารไทยมีชื่อเสียงไปทั่วโลกในด้านรสชาติที่เข้มข้น กลิ่นหอมของเครื่องเทศและการนำเสนอที่สดใส สำหรับผู้ประกอบการมือใหม่ การขายอาหารไทยโดยไม่ต้องมีหน้าร้านจริงถือเป็นโอกาสที่ดีเยี่ยมในการสร้างรายได้ด้วยการลงทุนเพียงเล็กน้อย ไม่ว่าจะขายทางออนไลน์ บริการจัดส่งหรือในตลาดท้องถิ่น อาหารไทยมีหลากหลายเมนูให้เลือกสรรขึ้นอยู่กับความถนัดและกลุ่มเป้าหมายของคุณ

ต่อไปนี้คืออาหารไทยที่ทำง่าย ๆ ที่สามารถช่วยให้คุณเริ่มต้นธุรกิจอาหารที่ประสบความสำเร็จได้
1. ผัดไทย
ผัดไทยเป็นอาหารที่มีชื่อเสียงที่สุดอย่างหนึ่งของประเทศไทย ปรุงง่ายและเป็นที่นิยมทั้งในหมู่ชาวไทยและชาวต่างชาติ ผัดไทยทำจากเส้นก๋วยเตี๋ยวผัด ไข่ เต้าหู้หรือกุ้ง ถั่วงอก และน้ำซอสมะขามรสเข้มข้น เป็นตัวเลือกที่ยอดเยี่ยมสำหรับการจัดส่งหรือซื้อกลับบ้าน

2. ข้าวผัด
ข้าวผัดไทยเป็นเมนูง่ายๆ แต่แสนอร่อยที่สามารถปรับแต่งได้โดยใช้ส่วนผสมต่างๆ เช่น ไก่ กุ้ง หรือผัก สามารถปรุงในปริมาณมากได้ง่ายและยังคงความสดใหม่ระหว่างการจัดส่ง การนำเสนอเมนูต่างๆ เช่น ข้าวผัดสับปะรดหรือข้าวผัดกะเพราสามารถดึงดูดลูกค้าได้มากขึ้น

3. ฉันอยู่ตรงนั้น (ส้มตำ)
ส้มตำเป็นสลัดไทยที่สดชื่น เผ็ดและเปรี้ยว ทำจากมะละกอดิบหั่นฝอย มะเขือเทศ ถั่วลิสง และน้ำปลา น้ำมะนาว และพริกปรุงรส เป็นเมนูที่ยอดเยี่ยมสำหรับผู้ที่ต้องการอาหารเบาๆ แต่รสชาติเข้มข้น และบรรจุหีบห่อเพื่อนำกลับบ้านได้ง่าย

4. ไก่ย่าง
ไก่ย่างสไตล์ไทยหมักด้วยกระเทียม ผักชี ซีอิ๊ว และพริกไทยดำ เป็นอาหารข้างทางยอดนิยม สามารถทานคู่กับข้าวเหนียวและน้ำจิ้มรสแซ่บ จึงเป็นตัวเลือกที่ยอดเยี่ยมสำหรับธุรกิจจัดส่งอาหาร

5. หมูปิ้ง
หมูปิ้งเป็นอาหารข้างทางยอดนิยมอีกชนิดหนึ่งของไทย ประกอบด้วยหมูหมักเสียบไม้ย่างจนสุกพอดี เป็นอาหารสำเร็จรูปที่เตรียมล่วงหน้าได้ง่ายและจำหน่ายผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์หรือบริการจัดส่ง

6. ขนมไทย
การขายขนมไทยโบราณ เช่น ข้าวเหนียวมะม่วง ขนมเค้กมะพร้าว หรือขนมคัสตาร์ดไทย สามารถดึงดูดผู้ชื่นชอบขนมหวานได้ ขนมเหล่านี้ใช้วัตถุดิบที่เรียบง่ายและสามารถบรรจุหีบห่อให้สวยงามสำหรับการสั่งซื้อทางออนไลน์ได้

เคล็ดลับการขายอาหารไทยออนไลน์:
เลือกเมนูที่ถนัด: เลือกเมนูที่คุณถนัดและมั่นใจในรสชาติ เพื่อให้ลูกค้าติดใจและกลับมาซื้อซ้ำ
สร้างความแตกต่าง: สร้างความแตกต่างให้กับเมนูของคุณ เช่น การใช้วัตถุดิบคุณภาพดี การคิดค้นเมนูใหม่ๆ หรือการตกแต่งอาหารให้น่าสนใจ
ทำการตลาดออนไลน์: ใช้ช่องทางออนไลน์ต่างๆ ในการโปรโมทสินค้าของคุณ เช่น Facebook, Instagram, LINE OA เป็นต้น
สร้างความน่าเชื่อถือ: สร้างความน่าเชื่อถือให้กับร้านค้าของคุณ เช่น การมีรีวิวจากลูกค้า การมีรูปภาพสินค้าที่สวยงาม หรือการมีช่องทางการติดต่อที่ชัดเจน
บริการจัดส่ง: มีบริการจัดส่งอาหารที่รวดเร็วและตรงเวลา เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับลูกค้า
โปรโมตบนโซเชียลมีเดีย – ใช้ Facebook, Instagram และ TikTok เพื่อจัดแสดงอาหารของคุณ เสนอโปรโมชั่น และมีส่วนร่วมกับลูกค้า
รับพรีออเดอร์ – รับพรีออเดอร์เพื่อลดขยะและรักษาความสดใหม่
ขายในตลาดท้องถิ่น – เข้าร่วมตลาดนัดสุดสัปดาห์ งานแสดงอาหาร หรืออีเว้นต์ป๊อปอัปเพื่อดึงดูดลูกค้า
เสนอชุดอาหาร – จัดเตรียมชุดอาหารพร้อมปรุงพร้อมส่วนผสมสดและคำแนะนำสำหรับลูกค้าที่ต้องการปรุงอาหารด้วยตนเอง

ช่องทางการขาย:
แอปพลิเคชันเดลิเวอรี่: สมัครเข้าร่วมแอปพลิเคชันเดลิเวอรี่ต่างๆ เช่น GrabFood, LINE MAN, foodpanda เป็นต้น
โซเชียลมีเดีย: สร้างเพจหรือบัญชีโซเชียลมีเดียเพื่อโปรโมทสินค้าและรับออเดอร์จากลูกค้า
ตลาดออนไลน์: ขายสินค้าของคุณบนตลาดออนไลน์ต่างๆ เช่น Shopee, Lazada เป็นต้น
กลุ่ม Facebook: เข้าร่วมกลุ่ม Facebook ที่เกี่ยวข้องกับอาหารและโปรโมทสินค้าของคุณในกลุ่ม

การเริ่มต้นธุรกิจอาหารไทยโดยไม่ต้องมีหน้าร้านเป็นธุรกิจที่คุ้มค่าและทำกำไรได้ ด้วยสูตรอาหารที่เรียบง่ายแต่แสนอร่อย การตลาดที่สร้างสรรค์ และตัวเลือกการจัดส่งที่มีประสิทธิภาพ คุณสามารถเปลี่ยนความหลงใหลในการทำอาหารของคุณให้กลายเป็นธุรกิจที่เจริญรุ่งเรืองได้ ไม่ว่าคุณจะเน้นที่อาหารริมทาง อาหารจานดั้งเดิม หรืออาหารไทยแบบฟิวชันสมัยใหม่ ความเป็นไปได้นั้นไม่มีที่สิ้นสุด

10
หมอประจำบ้าน: ครรภ์นอกมดลูก (Ectopic pregnancy)

การตั้งครรภ์นอกมดลูก เป็นภาวะที่ไข่ที่ถูกผสมเกาะตัวอยู่นอกโพรงมดลูก ที่พบบ่อยคือ ที่ท่อรังไข่ แล้วเกิดการแตกทำให้ตกเลือดในช่องท้อง

พบได้ประมาณ 1 ใน 200 ของหญิงตั้งครรภ์ พบมากในหญิงอายุ 35-44 ปี

สาเหตุ

เกิดจากไข่ที่ถูกผสมถูกขัดขวางไม่ให้เดินทางไปฝังตัวในโพรงมดลูก ซึ่งเกิดจากสาเหตุและปัจจัยได้หลายอย่าง อาทิ

    ท่อรังไข่ผิดปกติ ซึ่งอาจเกิดจากการติดเชื้อ เช่น ปีกมดลูกอักเสบ การผ่าตัดท่อรังไข่ การทำหมันหญิง ท่อรังไข่ผิดปกติมาแต่กำเนิด 
    มดลูกมีความผิดปกติโดยกำเนิด หรือเป็นเนื้องอกมดลูก
    ท่อรังไข่เคลื่อนตัวช้า ทำให้ไข่ฝังตัวอยู่ที่ท่อรังไข่ ซึ่งอาจเกิดจากการสูบบุหรี่ การใช้ยาคุมกำเนิด การใส่ห่วงคุมกำเนิด 
    เคยมีประวัติตั้งครรภ์นอกมดลูกมาก่อน
    มีประวัติมีบุตรยากนานเกิน 2 ปี หรือการแก้ไขภาวะมีบุตรยากด้วยการใช้เทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ เช่น วิธีการทำกิฟต์ (GIFT),  การทำเด็กหลอดแก้ว (In vitro fertilization & embryo transfer/IVF-ET)


อาการ

ผู้ป่วยมักมีประวัติขาดประจำเดือน 1-2 เดือน หรือไม่ก็สังเกตว่าประจำเดือนมาผิดไปจากทุกครั้ง เช่น มากะปริดกะปรอยไม่มาก สีน้ำตาลคล้ำ แล้วอยู่ดี ๆ ก็มีอาการปวดเสียดในท้องน้อยขึ้นทันทีทันใด ปวดรุนแรงเป็นชั่วโมง อาจร้าวไปที่หลัง ถ้านอนศีรษะต่ำอาจมีอาการปวดเสียวที่หัวไหล่

ต่อมาผู้ป่วยจะมีอาการเป็นลม เหงื่อออก ตัวเย็น

ในรายที่เป็นเรื้อรังอาจมีเพียงอาการปวดท้องน้อยเรื้อรัง ร่วมกับประจำเดือนกะปริดกะปรอย

ภาวะแทรกซ้อน

อาจทำให้ปีกมดลูกอักเสบ ระบบทางเดินปัสสาวะอักเสบ หรือเป็นหมัน

ที่สำคัญคือ เกิดการตกเลือดในช่องท้องจนช็อกถึงตายได้ ถ้าไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที


การวินิจฉัย

แพทย์จะวินิจฉัยจากอาการและสิ่งตรวจพบ

ซีด กระสับกระส่าย ชีพจรเบาเร็ว ความดันต่ำ อาจกดเจ็บหรือคลำได้ก้อนที่บริเวณท้องน้อย

ในรายที่เป็นเรื้อรังอาจตรวจไม่พบอาการชัดเจน ทำให้คิดว่าเป็นไส้ติ่งอักเสบ ปีกมดลูกอักเสบ ถุงน้ำรังไข่ (ovarian cyst) หรือแท้งบุตรได้

แพทย์จะทำการวินิจฉัยให้แน่ชัดโดยการตรวจภายในช่องคลอด เจาะเลือดตรวจดูระดับฮอร์โมนเอชซีจี (human chorionic gonadotropin/HCG) อาจต้องตรวจอัลตราซาวนด์ หรือใช้กล้องส่องตรวจช่องท้อง (laparoscopy)


การรักษาโดยแพทย์

แพทย์รับตัวไว้รักษาในโรงพยาบาล ให้เลือดในรายที่เสียเลือดมากและทำการผ่าตัดด่วน


การดูแลตนเอง

หากสงสัย เช่น หญิงที่มีอาการขาดประจำเดือนหรือประจำเดือนผิดปกติ มีอาการปวดเสียดในท้องน้อยขึ้นทันทีทันใด ปวดท้องรุนแรงเป็นชั่วโมง หรือ มีอาการปวดท้องร่วมกับมีอาการหน้าตาซีดเซียว หน้ามืด เป็นลม เหงื่อออก ตัวเย็น ควรปรึกษาแพทย์โดยเร็ว

เมื่อตรวจพบว่าเป็นครรภ์นอกมดลูก ควรดูแลตนเอง ดังนี้

    รักษา กินยา และปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ 
    ติดตามรักษากับแพทย์ตามนัด

ควรกลับไปพบแพทย์ก่อนนัด ถ้ามีลักษณะข้อใดข้อหนึ่ง ดังต่อไปนี้

    หลังจากกลับมาพักฟื้นที่บ้าน มีไข้สูง หนาวสั่น  อ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย ซีด ปวดท้อง คลื่นไส้ อาเจียน 
    ในรายที่แพทย์ให้ยากลับไปกินต่อที่บ้าน กินยาแล้วสงสัยเกิดผลข้างเคียงจากยา เช่น มีลมพิษ ผื่นคัน ตุ่มพุพอง ตาบวม ปากบวม ปวดท้อง ท้องเดิน คลื่นไส้ อาเจียน จุดแดงจ้ำเขียว หรือมีอาการผิดปกติอื่น ๆ


การป้องกัน

การป้องกันค่อนข้างเป็นเรื่องที่ทำได้ยาก แต่อาจลดความเสี่ยงของการเกิดโรคนี้ด้วยการลดปัจจัยเสี่ยง อาทิ

    ป้องกันไม่ให้เป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ (โดยการใช้ถุงยางอนามัยในกรณีที่มีความเสี่ยง) เพื่อป้องกันไม่ให้เป็นปีกมดลูกอักเสบ
    หากเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ หรือปีกมดลูกอักเสบควรรักษาให้หายขาด
    งดสูบบุหรี่ก่อนที่จะมีการตั้งครรภ์ 

ข้อแนะนำ

1. ถ้าพบผู้หญิงที่มีอาการเป็นลมหรือปวดท้อง ควรถามประวัติเกี่ยวกับประจำเดือนทุกราย (แม้ว่าจะไม่ได้มีประวัติการแต่งงานอย่างเป็นทางการก็ตาม) ถ้ามีอาการประจำเดือนขาดหรือมีเลือดออกทางช่องคลอดกะปริดกะปรอย อาจมีสาเหตุจากการตั้งครรภ์นอกมดลูกได้

2. การรักษาโรคนี้มีวิธีเดียว คือ การผ่าตัด หลังผ่าตัดผู้ป่วยสามารถตั้งครรภ์ที่ปกติได้ ถึงแม้อาจมีโอกาสในการตั้งครรภ์น้อยลงก็ตาม

11
ผลกระทบที่เกิดขึ้นจากเสียงดัง
ในโรงงานอุตสาหกรรม
โรงงานหรือสถานประกอบกิจการที่มีปัญหาด้านเสียงเกินค่ามาตรฐาน อาจสร้างผลกระทบทั้งด้านอาชีวอนามัยและความปลอดภัยในการทำงานต่อพนักงานในโรงงานเอง หรืออาจก่อให้เกิดมลพิษทางเสียงต่อชุมชนและสภาพแวดล้อมที่อยู่ด้านนอกโรงงาน หากเจ้าของแหล่งกำเนิดเสียงหรือผู้เกี่ยวข้องปล่อยปละละเลย ไม่จัดทำโครงการควบคุมเสียงหรือแก้ไขปัญหาดังกล่าวไม่สำเร็จ จะทำให้มีผลกระทบตามมา เช่น

•   เป็นผู้กระทำผิดกฎหมายด้านเสียง มีทั้งโทษปรับและจำคุก
•   ลูกจ้างอาจเกิดภาวะสูญเสียการได้ยินแบบชั่วคราวหรือแบบถาวร
•   ประสิทธิภาพการทำงานของพนักงานลดลงจากเสียงเกินค่ามาตรฐาน
•   ถูกร้องเรียนจากชุมชนหรือผู้ได้รับผลกระทบทางเสียงที่อยู่นอกโรงงาน
•   โรงงานหรือสถานประกอบกิจการอาจถูกสั่งปิดปรับปรุง จนกว่าจะแก้ไขแล้วเสร็จ

ทำไมต้องใช้บริการจาก
"NEWTECH INSULATION" ในการควบคุมเสียง?
ด้วยประสบการณ์กว่า 15 ปี ในการควบคุมเสียงอุตสาหกรรม เรามีความพร้อมทั้งด้านบุคลากรเฉพาะทางที่มีความรู้ด้านเสียงและความสั่นสะเทือน เครื่องมืออันทันสมัยที่ได้มาตรฐานตามที่กฎหมายกำหนด รวมถึงประสบการณ์ด้านการแก้ไขปัญหาเสียงอุตสาหกรรมที่มีทั้งในและต่างประเทศ ผู้ใช้บริการจึงมั่นใจได้ว่าปัญหาด้านเสียงในโรงงานหรือสถานประกอบกิจการจะได้รับการแก้ไขได้อย่างตรงจุด ด้วยค่าใช้จ่ายที่น้อยที่สุด เพราะเราเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการควบคุมเสียงในอุตสาหกรรม
– บริษัทฯ ขึ้นทะเบียนและได้รับใบอนุญาตเป็นนิติบุคคลผู้ให้บริการตรวจวัดและวิเคราะห์สภาวะการทำงานเกี่ยวกับระดับเสียง โดยกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน
– บุคลากรของบริษัทฯ ได้รับใบอนุญาตเป็นผู้ควบคุมมลพิษเสียงและความสั่นสะเทือน จากสภาวิชาชีพวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
– มีทีมงานที่มากประสบการณ์และความรู้ ได้แก่ วิศวกร นักสิ่งแวดล้อมอุตสาหกรรม เจ้าหน้าที่ความปลอดภัยในการทำงาน ช่างเทคนิค รวมไปถึงช่างประกอบและติดตั้งระบบควบคุมเสียง
– มีเครื่องมือที่ได้มาตรฐานไว้ให้บริการทั้งด้านฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์
– มีสินค้าสำหรับควบคุมเสียงและความสั่นสะเทือนให้เลือกหลากหลายรูปแบบ เช่น ผนังกันเสียง ห้องเก็บเสียง ม่านกันเสียง ตู้ครอบลดเสียง แจ็คเก็ตลดเสียง ไซเลนเซอร์ อคูสติคลูเวอร์ อุปกรณ์แยกความสั่นสะเทือน เป็นต้น
– มีการประเมินหรือทำตัวแบบจำลองระดับเสียง ก่อน-หลัง ปรับปรุงให้ลูกค้าใช้เป็นข้อมูลในการตัดสินใจ ช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายและเวลาในการแก้ปัญหาด้านเสียง
– รับประกันระดับเสียงที่ลดลง อยู่ในเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนด
– รับประกันคุณภาพสินค้าและฝีมือการติดตั้งทุกงาน

บริษัท นิวเทค อินซูเลชั่น จำกัด
ผู้เชี่ยวชาญด้านการควบคุมเสียงในโรงงานอุตสาหกรรม
จากประสบการณ์ในการแก้ไขปัญหาด้านเสียงมายาวนาน ไม่ว่าจะเป็นเสียงทางอาชีวอนามัยและความปลอดภัยในการทำงาน และเสียงทางสิ่งแวดล้อม
ทางบริษัทฯ ยินดีให้คำแนะนำที่ทำได้จริงสำหรับการแก้ปัญหาด้านมลภาวะทางเสียงที่เกิดขึ้น เพื่อให้ทั้งโรงงาน พนักงาน หรือชุมชนโดยรอบอยู่ร่วมกันได้
"เพราะเรา...เข้าใจเรื่องเสียง"

สนใจสั่งซื้อ
เบอร์โทร:  02-583-8035 , 02-583-8034, 098-995-4650
E-mail: contact@newtechinsulation.com
Line ID: @newtechinsulation
Facebook: newtechthai
Instagram: newtechinsulation
เว็บไซด์: https://www.noisecontrol365.com/


12
จัดฟันเด็ก เพื่อฟันแท้ที่มีสุขภาพดีในอนาคต

ฟันแท้ของเรา ถือว่าเป็นสิ่งที่สำคัญมาก เพราะฟันจะอยู่กับเราไปตลอดชีวิต เป็นสิ่งที่เราต้องใช้งานในชีวิตประจำวัน นั่นก็คือ การรับประทานอาหาร ฟันมีหน้าที่ในการบดเคี้ยวอาหาร สำหรับฟันแท้นั้น เป็นฟันชุดที่สองมีทั้งหมด 32 ซี่ ประกอบด้วย ฟันบน 16  ซี่ ฟันล่าง 16  ซี่ ซึ่งฟันแต่ละซี่จะมีรูปร่างและหน้าที่แตกต่างกัน  โดยฟันแท้ของเราจะงอกขึ้นมาในช่องปากครั้งแรกเมื่ออายุได้ 6 ขวบเป็นฟันกรามซี่ที่ 1 ล่าง ถ้าดูจากในช่องปากจะอยู่หลังจากฟันน้ำนมซี่ในสุดเข้าไป ฟันซี่นี้อยากจะขอให้พ่อแม่หรือผู้ปกครองของเด็กช่วยกันดูแล เพราะคนส่วนมากมักคิดว่าฟันซี่นี้เป็นฟันน้ำนม เนื่องจากขึ้นมาในช่องปากโดยไม่ได้แทนที่ฟันน้ำนม  ฟันกรามซี่ที่ 1 มีความสำคัญมากเพราะเป็นซี่ที่สำคัญที่สุดในการบดเคี้ยวอาหารไปตลอดชีวิต หรือจะเรียกว่าเป็นหัวใจสำคัญในการบดเคี้ยวอาหาร


จึงมีอิทธิพลต่อการเจริญเติบโตของเด็กในวัยเรียน เป็นอย่างมาก เด็กที่มีฟันผุมักจะมีร่างกายผอม ไม่แข็งแรง เด็กบางคนอาจมีผลทำให้ขาดอาหารได้ เพราะใช้ฟันเคี้ยวอาหารไม่สะดวก ใช้ฟันซี่อื่นไม่ถนัด ในการบดเคี้ยวดีเท่าฟันซี่นี้ อาจจะทำให้รู้สึกเบื่ออาหาร จนทำให้ร่างกายไม่ได้รับสารอาหารที่เพียงพอ  นอกจากนี้ฟันแท้ซี่นี้เป็นแนวทางให้ฟันแท้ซี่อื่น ๆ ที่จะขึ้นต่อไป ขึ้นได้ตรงตามตำแหน่งทำให้การสบฟันทั้งปากเป็นปกติเป็นการป้องกันการเกิดฟันเกและฟันซ้อนในเด็ก อีกทั้งยังช่วยกระตุ้นการเจริญเติบโตของกระดูกขากรรไกรให้สมบูรณ์ด้วย อย่างไรก็ตาม ในเด็กบางรายที่มีฟันผุมาก จนทำให้เกิดการสูญเสียฟันน้ำนมไปก่อนเวลาอันควร ก็ทำให้เกิดปัญหาได้ พ่อแม่ผู้ปกครอง ควรพาบุตรหลานเข้ารับการแก้ไขโดยด่วน หรืออาจจะใช้วิธีการพาเด็กเข้ารับการจัดฟันในเด็ก เพื่อให้เด็กได้มีฟันที่สวย มีฟันแท้ที่มีสุขภาพดีในอนาคต

ซึ่งถ้าพ่อแม่ผู้ปกครองอยากให้บุตรหลานของท่านเติบโตไปเป็นผู้ใหญ่ที่มีฟันที่สวยงาม ที่ฟันแท้ที่มีสุขภาพดี ก็ไม่อยาก อยากแรกเลยคือ เราควรปลูกฝังให้เด็กรู้จักวิธีการทำความสะอาดของช่องปากและฟันอย่างถูกต้อง เพื่อให้เด็กได้เข้าใจในการดูแลรักษาสุขภาพช่องปากและฟันของตัวเอง หรือถ้าเด็กมีปัญหา พ่อแม่ผู้ปกครองควรพาบุตรหลานของท่านเข้ารับการจัดฟันในเด็ก เพื่อสร้างรากฐานเกี่ยวกับสุขภาพช่องปากและฟันของเด็ก ให้มีฟันแท้ที่มีสุขาพที่ดีในอนาคตได้ สำหรับการจัดฟันในเด็ก สามารถพาเด็กเข้ารับการจัดฟันได้ตั้งแต่อายุ 4-15 ปี แบะไม่ต้องรอให้เด็กมีฟันแท้ขึ้นจนครบก็สามารถพาเข้าไปพบทันตแพทย์เพื่อเข้ารับการจัดฟันได้ทันที เพราะการที่เราแก้ไขปัญหาฟันตั้งแต่เนิ่นๆ นั่นหมายความว่า เด็กจะมีโอกาสที่เติบโตไปเป้นผู้ใหญ่ที่มีสุขภาพช่องปากและฟันที่ดี เพราะการแก้ไขปัญหาตั้งแต่เด็กๆ จะสร้างวินัย สร้างความเข้าใจ สร้างทัศนคติที่ดีในเรื่องของสุขภาพฟันต่อเด็กได้อย่างดีเลยทีเดียว แถมยังช่วยแก้ไขปัญหาฟันได้แทบทุกกรณี รวมไปถึงช่วยแก้ไขปัญหาในเรื่องของโครงสร้างของใบหน้า

ช่วยปรับตำแหน่งลิ้น ช่วยทำให้เกิดการสมดุลของขากรรไกร เรียกว่า ช่วยทำให้เด็กได้มีสุขภาพฟันที่ดีและยังช่วยเสริมสร้างความมั่นใจให้กับเด็กอีกด้วย เพราะรอยยิ้มในวัยเด็กถือว่าเป็นเรื่องที่สำคัญไม่แพ้กัน จะทำให้เด็กรู้จักกล้าแสดงออก ยยิ่งยิ้มสวยยิ้มเก่ง แน่นอนว่าจะเป็นที่ประทับใจให้กับพ่อแม่ผู้ปกครองได้อย่าแน่นอน เพราะฉะนั้น ถ้าอยากให้ลูกของท่านมีฟันแท้ที่มีสุขภาพดี มีรอยยิ้มที่สดใส มีฟันที่เรียงตัวกันอย่างสวยงาม ก็ควรพาเด็กๆ เข้ารับการจัดฟันในเด็ก เพื่อที่จะทำให้เด็กมีสุขภาพช่องปากและฟันที่ดีในอนาคตได้

ดังนั้น สิ่งที่สำคัญมากที่สุด ก็คือ พ่อแม่ผู้ปกครองจะต้องดูแลเอาใจใส่ในเรื่องของสุขภาพช่องปากและฟันของบุตรหลานของท่านให้ดี ควรแนะนำให้เด็กรู้จักวิธีการทำความสะอาดอย่างถูกวิธี เพื่อจะได้ป้องกันการเกิดฟันผุ ขณะจัดฟัน ซึ่งถือว่าเป็นปัญหาที่เด็กและหลายคนมักจะพบเจอได้บ่อยนั่นเอง สำหรับใครที่อยากพาบุตรหลานของท่านเข้ารับการจัดฟันในเด็กก็สามารถติดต่อขอรับคำแนะนำได้ที่คลินิกเพราะทางเรามีทีมทันตแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญด้านทันตกรรมในเด็ก คอยให้คำปรึกษาอย่างถูกต้อง และสามารถช่วยแนะนำให้เด็กรู้จักการดูแลรักษาความสะอาดของช่องปากเพื่อที่จะได้ลดปัญหาเกี่ยวกับสุขภาพช่องปากและฟันในอนาคต เพราะเราอยากให้เด็กเด็กทุกคนมีทัศนคติที่ดีเกี่ยวกับการดูแลสุขภาพช่องปากและฟัน เพื่อที่จะได้เข้าใจในการดูแลช่องปากอย่างถูกวิธี เพื่อให้เรามีฟันที่แข็งแรง มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น

13
ผลกระทบที่เกิดขึ้นจากเสียงดัง
ในโรงงานอุตสาหกรรม
โรงงานหรือสถานประกอบกิจการที่มีปัญหาด้านเสียงเกินค่ามาตรฐาน อาจสร้างผลกระทบทั้งด้านอาชีวอนามัยและความปลอดภัยในการทำงานต่อพนักงานในโรงงานเอง หรืออาจก่อให้เกิดมลพิษทางเสียงต่อชุมชนและสภาพแวดล้อมที่อยู่ด้านนอกโรงงาน หากเจ้าของแหล่งกำเนิดเสียงหรือผู้เกี่ยวข้องปล่อยปละละเลย ไม่จัดทำโครงการควบคุมเสียงหรือแก้ไขปัญหาดังกล่าวไม่สำเร็จ จะทำให้มีผลกระทบตามมา เช่น

•   เป็นผู้กระทำผิดกฎหมายด้านเสียง มีทั้งโทษปรับและจำคุก
•   ลูกจ้างอาจเกิดภาวะสูญเสียการได้ยินแบบชั่วคราวหรือแบบถาวร
•   ประสิทธิภาพการทำงานของพนักงานลดลงจากเสียงเกินค่ามาตรฐาน
•   ถูกร้องเรียนจากชุมชนหรือผู้ได้รับผลกระทบทางเสียงที่อยู่นอกโรงงาน
•   โรงงานหรือสถานประกอบกิจการอาจถูกสั่งปิดปรับปรุง จนกว่าจะแก้ไขแล้วเสร็จ

ทำไมต้องใช้บริการจาก
"NEWTECH INSULATION" ในการควบคุมเสียง?
ด้วยประสบการณ์กว่า 15 ปี ในการควบคุมเสียงอุตสาหกรรม เรามีความพร้อมทั้งด้านบุคลากรเฉพาะทางที่มีความรู้ด้านเสียงและความสั่นสะเทือน เครื่องมืออันทันสมัยที่ได้มาตรฐานตามที่กฎหมายกำหนด รวมถึงประสบการณ์ด้านการแก้ไขปัญหาเสียงอุตสาหกรรมที่มีทั้งในและต่างประเทศ ผู้ใช้บริการจึงมั่นใจได้ว่าปัญหาด้านเสียงในโรงงานหรือสถานประกอบกิจการจะได้รับการแก้ไขได้อย่างตรงจุด ด้วยค่าใช้จ่ายที่น้อยที่สุด เพราะเราเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการควบคุมเสียงในอุตสาหกรรม
– บริษัทฯ ขึ้นทะเบียนและได้รับใบอนุญาตเป็นนิติบุคคลผู้ให้บริการตรวจวัดและวิเคราะห์สภาวะการทำงานเกี่ยวกับระดับเสียง โดยกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน
– บุคลากรของบริษัทฯ ได้รับใบอนุญาตเป็นผู้ควบคุมมลพิษเสียงและความสั่นสะเทือน จากสภาวิชาชีพวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
– มีทีมงานที่มากประสบการณ์และความรู้ ได้แก่ วิศวกร นักสิ่งแวดล้อมอุตสาหกรรม เจ้าหน้าที่ความปลอดภัยในการทำงาน ช่างเทคนิค รวมไปถึงช่างประกอบและติดตั้งระบบควบคุมเสียง
– มีเครื่องมือที่ได้มาตรฐานไว้ให้บริการทั้งด้านฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์
– มีสินค้าสำหรับควบคุมเสียงและความสั่นสะเทือนให้เลือกหลากหลายรูปแบบ เช่น ผนังกันเสียง ห้องเก็บเสียง ม่านกันเสียง ตู้ครอบลดเสียง แจ็คเก็ตลดเสียง ไซเลนเซอร์ อคูสติคลูเวอร์ อุปกรณ์แยกความสั่นสะเทือน เป็นต้น
– มีการประเมินหรือทำตัวแบบจำลองระดับเสียง ก่อน-หลัง ปรับปรุงให้ลูกค้าใช้เป็นข้อมูลในการตัดสินใจ ช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายและเวลาในการแก้ปัญหาด้านเสียง
– รับประกันระดับเสียงที่ลดลง อยู่ในเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนด
– รับประกันคุณภาพสินค้าและฝีมือการติดตั้งทุกงาน

บริษัท นิวเทค อินซูเลชั่น จำกัด
ผู้เชี่ยวชาญด้านการควบคุมเสียงในโรงงานอุตสาหกรรม
จากประสบการณ์ในการแก้ไขปัญหาด้านเสียงมายาวนาน ไม่ว่าจะเป็นเสียงทางอาชีวอนามัยและความปลอดภัยในการทำงาน และเสียงทางสิ่งแวดล้อม
ทางบริษัทฯ ยินดีให้คำแนะนำที่ทำได้จริงสำหรับการแก้ปัญหาด้านมลภาวะทางเสียงที่เกิดขึ้น เพื่อให้ทั้งโรงงาน พนักงาน หรือชุมชนโดยรอบอยู่ร่วมกันได้
"เพราะเรา...เข้าใจเรื่องเสียง"

สนใจสั่งซื้อ
เบอร์โทร:  02-583-8035 , 02-583-8034, 098-995-4650
E-mail: contact@newtechinsulation.com
Line ID: @newtechinsulation
Facebook: newtechthai
Instagram: newtechinsulation
เว็บไซด์: https://www.noisecontrol365.com/



14
ซ่อมบำรุงอาคาร: กระเบื้องแตก แก้ไขอย่างไร ?

หลายคนที่เพิ่งจะซื้อบ้าน อาจจะต้องเจอปัญหาจุกจิกภายในบ้าน ไม่ว่าจะเป็นปัญหาการรั่วซึม ปัญหาผนังร้าว หรือปัญหากระเบื้องแตก ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นปัญหาที่มักจะพบได้บ่อย ซึ่งอาจจะสร้างความรำคาญใจให้กับเจ้าของบ้านเป็นอย่างยิ่ง แม้ว่าจะไม่ได้ส่งผลต่อการใช้ชีวิตประจำวันมากเท่าไหร่ แต่บ้านของใครใครก็รัก คงไม่อยากให้เกิดปัญหา หรือทำให้เสียบรรยากาศในการพักผ่อนหย่อนใจหลังจากกลับจากที่ทำงาน นอกจากนี้ ยังทำให้บ้านดูเก่า ดูโทรมอีกด้วย ซึ่งปัญหาที่กล่าวมานั้น แน่นอนว่าสิ่งเหล่านี้ถือเป็นปัญหาใหญ่และควรซ่อมซ่อมเป็นการด่วน เพราะหากปล่อยไว้นานเกินไป อาจทำให้เกิดปัญหาที่บานปลาย รวมถึงเสียค่าใช้จ่ายในการซ่อมแซมที่แพงเกินความจำเป็นอีกด้วย


ซึ่งวันนี้จะมาพูดถึงเรื่องของปัญหากระเบื้องแตก ที่หลายคนอาจจะไม่ทราบว่าจะต้องแก้ไขปัญหาอย่างไร ซึ่งปัญหากระเบื้องแตก ส่วนใหญ่เกิดจากอุณหภูมิเปลี่ยนแปลง อุณหภูมิต่ำ และอุณหภูมิสูง ซึ่งจะมีผลต่อการเกิดการยืดและหดของวัสดุปูพื้นโดยตรง ความเย็นทำให้เกิดการหดตัว และความร้อนทำให้เกิดการขยายตัว โดยกาวซีเมนต์กับพื้นคอนกรีตมีความหนาแน่นใกล้เคียงกัน แต่กระเบื้องมีความหนาแน่นสูงกว่าวัสดุทั้งสอง ทำให้พื้นคอนกรีต กาวซีเมนต์ และกระเบื้องเกิดการยึดหรือหดตัวในอัตราที่ไม่เท่ากัน จนเกิดปัญหากระเบื้องแตกร้าว ระเบิดหรือโก่งตัวได้

ก่อนที่เราจะมาพูดถึงเรื่องของการแก้ไขกระเบื้องแตก เราจะต้องรู้ก่อนว่า สาเหตุที่แท้จริงของปัญหาดังกล่าวนั้นเกิดจากอะไร ส่วนใหญ่ปัญหานี้มักจะเกิดจากพื้นที่ไม่แข็งแรง โดยเกิดจากพื้นผิวที่ปูกระเบื้องเป็นพื้นผิวเก่า และไม่ทำความสะอาดพื้นผิวให้แห้ง พื้นผิวปูนเกิดการแอ่นตัว และมีการทรุดตัว รวมถึงเคลื่อนตัวออกจากโครงสร้าง หรือแม้กระทั่งการปูพื้นกระเบื้องในขณะที่ปูนไม่เซ็ตตัว และยังไม่แห้งดี ใช้กระเบื้องที่ไม่ได้มาตรฐาน โดยอาจเป็นกระเบื้องชนิดหดตัว และมีการขยายตัวสูง ใช้ปูนในการปูกระเบื้องที่ผิดประเภท อาทิ การใช้ปูนทราย อีกทั้งถ้าหากปูบริเวณภายนอกที่เจอกับแสงแดด ก็ยิ่งทำให้ปูนแห้งเร็ว มีส่วนทำให้การยึดเกาะไม่มีประสิทธิภาพ

และสุดท้ายคือ การปูกระเบื้องแบบไม่เว้นร่องยาแนว ถือเป็นการปูกระเบื้องที่ผิดวิธี รววถึงการปูกระเบื้องที่ชิดมากเกินไปเช่นกัน เพราะหากอาศร้อน หรือมีอุณหภูมิที่เปลี่ยนแปลงโดยฉับพลัน ก็มีส่วนทำให้กระเบื้องขยายตัวตัวและดีดตัวโก่งขึ้น จึงเป็นสาเหตุทำให้กระเบื้องหลุดล่อน และเกิดการระเบิดได้ ส่วนวิธีแก้ไขปัญหาคือเราจะต้องเริ่มที่วิธีปูกระเบื้อง ไม่ควรปูพื้นแบบซาลาเปาเด็ดขาด ควรใช้ปูนรองกระเบื้องให้เต็มแผ่น แล้วทาปูนกาวประสานอีกที ซึ่งเป็นปูนซีเมนต์ผสมสารช่วยเพิ่มการยึดเกาะ คุณสมบัติดีกว่าปูนซีเมนต์ธรรมดา หรือใช้การปูกระเบื้องแบบเปียก ทาปูนให้เต็มแผ่น ลดช่องว่างและเพิ่มการยึดเกาะ ที่สำคัญ ถ้าต้องปูพื้นใหม่ อย่าลืมสกัดเศษปูนเก่าออกจากพื้น 

เพื่อปรับระดับพื้นให้เหมาะสม และเพิ่มประสิทธิภาพการยึดเกาะของกระเบื้องชุดใหม่ หากเราไม่อยากให้เกิดปัญหาซ้ำ เพื่อความมั่นใจว่าปัญหาเหล่านี้จะไม่กลับมาเกิดขึ้นอีก แนะนำให้ปรึกษาช่างผู้เชี่ยวชาญเพื่อมาประเมินความเสียหาย และแก้ไขได้อย่างถูกวิธี รวมถึงเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสมกับการใช้งาน ก็จะช่วยป้องกันไม่ให้เกิดปัญหากระเบื้องแตกร้าวอีก อย่างไรก็ตาม เราควรตรวจสอบและหมั่นเช็คจุดบกพร่องที่เกิดภายในบ้านของเรา เพื่อที่จะได้แก้ไขได้อย่างทันเวลา เพราะหากปล่อยไว้อาจจะทำให้เกิดปัญหาลุกลามได้ ซึ่งอาจจะต้องมานั่งเสียเวลา เสียค่าใช้จ่ายโดยเปล่าประโยชน์ได้

อย่างไรก็ตามเรามีบริการรักษาสิ่งแวดล้อมในสถานที่ทำงาน หรือบริการทางด้านการซ่อมบำรุงรักษาอาคาร เพื่อให้ผู้อยู่อาศัยได้มีความปลอดภัย และสร้างสิ่งแวดล้อมให้มีความสะอาด สะดวก และถูกสุขลักษณะ พร้อมกับให้คำปรึกษาเกี่ยวกับระบบดูแลอาคาร ระบบทำความเย็นภายในอาคาร สำนักงาน เพื่อให้บริการของเราได้ตอบโจทย์ให้เข้าของอาคารสถานที่ และตรงต่อความต้องการมากที่สุด เพราะเราให้ความสำคัญความสะดวกสบายของลูกค้า เราจึงมีการฝึกอบรมพนักงานให้มีความรู้ ความสามารถ และมีทัศนคติที่ดีในการทำงานเพื่อที่จะส่งมอบบริการต่าง ๆให้กับ ลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด


15
พูดคุยเรื่องทั่วไป / Doctor At Home: โรคมือ-เท้า-ปาก (Hand-foot-and-mouth disease)
« เมื่อ: วันที่ 24 กรกฎาคม 2025, 13:36:22 น. »
Doctor At Home: โรคมือ-เท้า-ปาก (Hand-foot-and-mouth disease)

โรคมือ-เท้า-ปาก เป็นไข้ออกผื่นชนิดหนึ่งที่พบได้บ่อยในเด็กเล็ก เกิดจากการติดเชื้อไวรัสซึ่งติดต่อได้ง่าย มักมีอาการไม่รุนแรง และหายได้เองเป็นส่วนใหญ่

ในบ้านเรามีรายงานผู้ป่วยโรคนี้ประมาณปีละ 1,500-3,000 ราย ส่วนใหญ่พบในเด็กอายุต่ำกว่า 5 ปี บางครั้งพบระบาดตามสถานรับเลี้ยงเด็กเล็ก และโรงเรียนอนุบาล


สาเหตุ

เกิดจากการติดเชื้อกลุ่มไวรัสเอนเทอโร (enterovirus) ซึ่งมีอยู่หลายชนิด ได้แก่ ค็อกแซกกีเอและบี (coxsackie A, B) ไวรัสเอนเทอโรชนิด 71 ส่วนใหญ่ติดต่อจากการกินอาหาร น้ำดื่ม หรือการดูดเลียนิ้วมือ หรือสิ่งของที่ปนเปื้อนเชื้อที่ออกมากับอุจจาระ น้ำเหลืองจากตุ่มน้ำที่ผิวหนัง หรือละอองน้ำมูกน้ำลายของผู้ป่วย นอกจากนี้ยังสามารถติดต่อโดยการสูดเอาฝอยละอองน้ำมูกน้ำลายที่ผู้ป่วยไอจามรด

ที่พบบ่อยที่สุด คือการติดเชื้อไวรัสค็อกแซกกีเอ ชนิด 16 ซึ่งอาการมักจะไม่รุนแรง และหายได้เองเป็นส่วนใหญ่

ที่พบน้อยแต่รุนแรง คือการติดเชื้อไวรัสเอนเทอโรชนิด 71 ซึ่งอาจทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนรุนแรงถึงตายได้

ระยะฟักตัว 3-7 วัน


อาการ

แรกเริ่มผู้ป่วยจะมีอาการไข้ และอาจมีอาการอ่อนเพลีย เบื่ออาหารร่วมด้วย หลังจากนั้น 1-2 วัน จะมีน้ำมูก เจ็บปาก เจ็บคอ ไม่ยอมดูดนม ไม่อยากกินอาหาร เด็กเล็กอาจร้องงอแง ตรวจดูในช่องปากจะพบมีจุดนูนแดง ๆ หรือมีน้ำใสอยู่ข้างใต้ ขึ้นตามเยื่อบุปาก ลิ้น และเหงือก ซึ่งต่อมาจะแตกกลายเป็นแผลตื้น ๆ ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 4-8 มม. ซึ่งเจ็บมาก

ขณะเดียวกันก็มีผื่นขึ้นที่มือและเท้า บางรายขึ้นฝ่ามือ ฝ่าเท้า ซอกนิ้วมือ หรือแก้มก้น ตอนแรกขึ้นเป็นจุดแดงราบก่อน แล้วกลายเป็นตุ่มน้ำตามมา ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 3-7 มม.

อาการไข้มักเป็นอยู่ประมาณ 3-4 วันก็ทุเลาไปเอง แผลในปากมักหายได้เองภายใน 7 วัน ตุ่มที่มือและเท้าจะหายเองภายใน 10 วัน และมักไม่เป็นแผลเป็น

ในรายที่เป็นรุนแรง (ซึ่งพบเป็นส่วนน้อย) อาจมีอาการปวดศีรษะรุนแรง อาเจียนรุนแรง ซึม ไม่ค่อยรู้ตัว ชัก แขนขาอ่อนแรง หรือหายใจหอบ


ภาวะแทรกซ้อน

ในรายที่มีอาการคัน อาจเกาจนติดเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อน กลายเป็นตุ่มหนอง พุพอง

อาจมีภาวะขาดน้ำ เนื่องจากเจ็บแผลในปากจนดื่มน้ำได้น้อย

บางรายอาจมีเยื่อหุ้มสมองอักเสบ ซึ่งมักไม่รุนแรง และหายได้เองภายใน 10 วัน

ที่รุนแรงแต่พบได้น้อย ได้แก่ สมองอักเสบ ภาวะปอดบวมน้ำ (pulmonary edema) หรือเลือดออกในปอด กล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ (myocarditis) ซึ่งอาจรุนแรงถึงตายได้

ภาวะแทรกซ้อนรุนแรงมักเกิดในกลุ่มที่ติดเชื้อไวรัสเอนเทอโรชนิด 71 (ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2540 เป็นต้นมา มีรายงานการระบาดและการตายของเด็กเล็กที่ติดเชื้อชนิดนี้ในประเทศมาเลเซีย สิงคโปร์ ญี่ปุ่น ไต้หวัน ฮ่องกง ออสเตรเลีย)


การวินิจฉัย

แพทย์จะวินิจฉัยจากอาการและสิ่งตรวจพบ ดังนี้

ไข้ 38-39 องศาเซลเซียส

จุดนูนแดง ตุ่มน้ำใส หรือแผลที่เยื่อบุปาก ลิ้นและเหงือก

จุดแดงราบ ตุ่มนูน หรือตุ่มน้ำที่มือ เท้า ฝ่ามือ ฝ่าเท้า แก้มก้น

ในรายที่จำเป็น แพทย์อาจทำการตรวจเชื้อไวรัสจากสิ่งคัดหลั่งที่คอหอย อุจจาระ หรือน้ำเหลืองจากตุ่มน้ำบนผิวหนัง


การรักษาโดยแพทย์

แพทย์จะให้การดูแลรักษา ดังนี้

1. ในรายที่ไม่มีภาวะแทรกซ้อน ให้การรักษาตามอาการดังนี้

    ให้พาราเซตามอลลดไข้
    ให้ผู้ป่วยดื่มน้ำมาก ๆ จนสังเกตเห็นว่ามีปัสสาวะออกมากและใส ทั้งนี้เพื่อป้องกันภาวะขาดน้ำ
    ในช่วงที่มีอาการเจ็บแผลในปาก ให้ผู้ป่วยกินอาหารเหลว หรือของน้ำ ๆ (เช่น ข้าวต้ม โจ๊ก แกงจืด นม น้ำเต้าหู้ ของหวาน) โดยใช้ช้อนป้อน หรือใช้กระบอกฉีดยาค่อย ๆ หยอดเข้าปากแทนการดูดจากขวด (สำหรับทารก) ให้อมน้ำแข็งก้อนเล็ก ๆ ดื่มน้ำหรือนมเย็น ๆ กินไอศกรีม หรือบ้วนปากด้วยน้ำเกลืออุ่น ๆ (ใส่เกลือแกง 1/2 ช้อนชา ในน้ำอุ่น 1 แก้ว) บ่อย ๆ เพื่อลดอาการเจ็บแผล

2. ถ้าแผลกลายเป็นตุ่มหนอง หรือพุพองจากการเกา ให้ยาปฏิชีวนะ เช่น เพนิซิลลินวี อะม็อกซีซิลลิน อีริโทรไมซิน เป็นต้น

3. ถ้าเจ็บแผลในปากมากจนกินอาหารและดื่มน้ำไม่ได้ แพทย์จะให้น้ำเกลือทางหลอดเลือดดำ และอาจให้ยาชา (เช่น lidocaine, benzocaine) ทาแผลในปากเพื่อลดความเจ็บปวด

4. ถ้าผู้ป่วยมีอาการปวดศีรษะรุนแรง อาเจียนรุนแรง ไม่ค่อยรู้ตัว ชัก แขนขาอ่อนแรง หรือหายใจหอบ แพทย์จะรับไว้ในโรงพยาบาล ทำการตรวจเพิ่มเติมและรักษาตามภาวะแทรกซ้อนที่พบ


การดูแลตนเอง

หากสงสัย เช่น มีไข้ร่วมกับมีแผลเปื่อยในปาก (ปากเจ็บ คอเจ็บ) และมีผื่นตุ่มขึ้นที่มือและเท้า ควรปรึกษาแพทย์

เมื่อตรวจพบว่าเป็นโรคมือ-เท้า-ปาก ควรดูแลตนเอง ดังนี้

    รักษา กินยา และปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์
    ติดตามรักษากับแพทย์ตามนัด
    ให้ผู้ป่วยดื่มน้ำมาก ๆ จนสังเกตเห็นว่ามีปัสสาวะออกมากและใส ทั้งนี้เพื่อป้องกันภาวะขาดน้ำ
    ในช่วงที่มีอาการเจ็บแผลในปาก ให้ผู้ป่วยกินอาหารเหลว หรือของน้ำ ๆ (เช่น ข้าวต้ม โจ๊ก แกงจืด นม น้ำเต้าหู้ ของหวาน) โดยใช้ช้อนป้อน หรือใช้กระบอกฉีดยาค่อย ๆ หยอดเข้าปากแทนการดูดจากขวด (สำหรับทารก) ให้อมน้ำแข็งก้อนเล็ก ๆ ดื่มน้ำหรือนมเย็น ๆ กินไอศกรีม หรือบ้วนปากด้วยน้ำเกลืออุ่น ๆ (ใส่เกลือแกง 1/2 ช้อนชา ในน้ำอุ่น 1 แก้ว) บ่อย ๆ เพื่อลดอาการเจ็บแผล


ควรกลับไปพบแพทย์ก่อนนัด ถ้ามีลักษณะข้อใดข้อหนึ่ง ดังต่อไปนี้

    ดูแลรักษาแล้วอาการไม่ทุเลาใน 2-3 วัน
    มีอาการปวดศีรษะมาก อาเจียนมาก ซึมมาก ไม่ค่อยรู้สึกตัว เพ้อคลั่ง หรือชัก
    หายใจหอบ หรือเจ็บหน้าอกมาก
    กินอาหารหรือดื่มนมและน้ำได้น้อย หรือมีปัสสาวะออกน้อย
    ผื่นกลายเป็นตุ่มหนองหรือพุพอง
    ขาดยา ยาหาย หรือกินยาไม่ได้
    ในรายที่แพทย์ให้ยากลับไปกินต่อที่บ้าน กินยาแล้วสงสัยเกิดผลข้างเคียงจากยา เช่น มีลมพิษ ผื่นคัน ตุ่มพุพอง ตาบวม ปากบวม ปวดท้อง ท้องเดิน คลื่นไส้ อาเจียน จุดแดงจ้ำเขียว หรือมีอาการผิดปกติอื่น ๆ


การป้องกัน

1. ควรแยกผู้ป่วยไม่ให้คลุกคลีกับผู้อื่นประมาณ 2 สัปดาห์ หรือจนกว่าตุ่มแผลต่าง ๆ จะหายดี เวลาไอหรือจามควรใช้ผ้าปิดปากและจมูก

2. ล้างมือด้วยน้ำกับสบู่หลังถ่ายอุจจาระหรือเปลี่ยนผ้าอ้อม ก่อนเตรียมอาหาร และก่อนเปิบอาหาร

3. หลีกเลี่ยงการใช้สิ่งของร่วมกับผู้อื่น เช่น แก้วน้ำ หลอดดูด ขวดนม ช้อน ชาม เสื้อผ้า ผ้าเช็ดตัว ของเล่น เป็นต้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงที่มีการระบาดของโรคนี้

4. ฝึกเด็กให้มีสุขนิสัยที่ดี รวมทั้งหลีกเลี่ยงการนำนิ้วมือหรือของเล่นเข้าปาก


ข้อแนะนำ

1. โรคนี้มักจะวินิจฉัยจากลักษณะอาการ ซึ่งต้องแยกออกจากโรคเริม อีสุกอีใส แผลแอฟทัส พุพอง เป็นต้น (ตรวจอาการ ไข้ร่วมกับมีผื่นหรือตุ่มขึ้น และ ปากเจ็บ/แผลที่ปาก/ลิ้นเป็นฝ้าขาว ประกอบ)

2. ในผู้ใหญ่อาจติดเชื้อโดยไม่มีอาการแสดง แต่สามารถแพร่เชื้อออกมาทางอุจจาระ ดังนั้น ควรป้องกันการแพร่เชื้อให้ผู้อื่นโดยการล้างมือด้วยน้ำกับสบู่หลังถ่ายอุจจาระและก่อนเตรียมอาหาร

3. แม้ว่าโรคนี้มักหายได้เองภายใน 7-10 วัน (เต็มที่ไม่เกิน 2 สัปดาห์) แต่ควรแนะนำให้สังเกตภาวะแทรกซ้อนทางสมอง ปอด และหัวใจอย่างใกล้ชิด หากสงสัยควรไปพบแพทย์ที่โรงพยาบาลโดยเร็ว

4. โรคนี้เป็นคนละชนิดกับโรคปากเปื่อยเท้าเปื่อยที่พบในสัตว์ (เช่น โค กระบือ) และไม่ติดเชื้อจากสัตว์ที่ป่วย

หน้า: [1] 2 3 ... 49