ผู้เขียน หัวข้อ: เทียบรถยนต์ไฟฟ้ากับรถน้ำมัน ทำไมต้องจ่ายเบี้ยประกันแพงกว่า  (อ่าน 112 ครั้ง)

siritidaphon

  • Sr. Member
  • ****
  • กระทู้: 439
  • ลงประกาศฟรี ลงโฆษณาฟรี โปรโมทสินค้าฟรี ซื้อ ขาย เช่า บริการ ลด แหล่งรวม ลงประกาศฟรี ลงโฆษณาฟรี โปรโมทสินค้าฟรี ซื้อ ขาย เช่า บริการ
    • ดูรายละเอียด
ต้องยอมรับจริง ๆ ว่ากระแสรถไฟฟ้าในตลาดรถยนต์ยังคงมาแรงอย่างต่อเนื่อง เหล่ากู๊ดดี้คนไหนกำลังอยู่ในขั้นตอนตัดสินใจใช้รถประเภทนี้ ควรเผื่อค่าใช้จ่ายในส่วนอื่นไว้ด้วย โดยเฉพาะค่าประกันภัยรถยนต์ จริงอยู่ว่า รถไฟฟ้าบำรุงรักษาน้อยกว่ารถน้ำมัน ชาร์จไฟก็ถูกกว่าการเติมน้ำมัน แล้วประกันรถยนต์ล่ะ ราคาถูกกว่าด้วยมั้ย?



เปรียบเทียบรถไฟฟ้ากับรถน้ำมันต่างกันยังไง

ประกันรถไฟฟ้าแพงกว่าประกันรถน้ำมันจริงมั้ย? มาดู 3 ข้อเปรียบเทียบรถไฟฟ้ากับรถน้ํามันที่ส่งผลต่อค่าเบี้ยประกันรถกัน


ทุนประกัน

ทุนประกันรถไฟฟ้าสูงกว่ารถน้ำมัน เพราะรถไฟฟ้าต้องใช้เทคโนโลยีขั้นสูงในการผลิต ค่าอะไหล่และค่าซ่อมบำรุงมีต้นทุนค่อนข้างสูง จึงทำให้รถไฟฟ้ามีราคาสูงกว่ารถน้ำมันทั่วไป ทุนประกันรถไฟฟ้าจึงสูงขึ้นตามไปด้วย เพื่อให้วงเงินสามารถคุ้มครองความเสี่ยงได้ครอบคลุม แต่ยังไงก็ขึ้นอยู่กับรุ่นรถด้วยนะ รถน้ำมันบางรุ่นอาจมีทุนประกันใกล้เคียงกับรถไฟฟ้าเลย


ความคุ้มครอง

เมื่อทุนประกันรถไฟฟ้าสูงกว่า นั่นหมายความว่ารถไฟฟ้าจะได้รับความคุ้มครองครอบคลุมมากกว่า โดยจะมีความคุ้มครองพิเศษเฉพาะรถไฟฟ้าเพิ่มเติมเข้ามา ได้แก่ การคุ้มครองความเสียหาย หรือสูญหายของสายชาร์จรถไฟฟ้า และเครื่องชาร์จรถไฟฟ้า รวมถึงความเสียหายที่เกิดขึ้นกับแบตเตอรี่ ในกรณีความเสียหายเกิดจากการชน กระแทก และอุบัติเหตุ


ค่าเบี้ยประกัน

ค่าเบี้ยประกันรถไฟฟ้าสูงกว่ารถน้ำมันทั่วไป เพราะปัจจัยหลักที่นำมาคำนวณค่าเบี้ยประกัน คือทุนประกัน แปลว่ายิ่งทุนสูง ยิ่งทำให้เบี้ยประกันรถยนต์ของรถไฟฟ้ามีราคาสูงกว่ารถธรรมดาทั่วไปนั่นเอง


ปัจจัยที่ทำให้ประกันรถไฟฟ้าแพงกว่า

หลังจากรู้ 3 ข้อหลักที่ส่งผลต่อการคิดค่าเบี้ยประกันรถแล้ว เชื่อว่าต้องมีคนสงสัยต่อไปอีกว่าทำไมประกันรถไฟฟ้าถึงแพงกว่า? อะไรทำให้เบี้ยประกันรถยนต์ EV แพงกว่ารถยนต์ทั่วไป? สรุป 4 ปัจจัยที่ทำให้ประกันรถไฟฟ้าแพงกว่ามาให้แล้ว ตามนี้เลย


1. สัดส่วนรถไฟฟ้ายังน้อยกว่ารถน้ำมัน

ข้อนี้สำคัญเลย พอลองมาเทียบสัดส่วนกันจริง ๆ จะพบว่าคนใช้รถไฟฟ้ายังน้อยกว่ารถน้ำมันอยู่มาก ลองดูตัวเลขยอดจดทะเบียนสะสมยานยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทยตั้งแต่ปี 2561-2565 จากสมาคมยานยนต์ไฟฟ้าไทย ดังนี้

    ยานยนต์พลังงานไฟฟ้า 100% (BEV) มียอดจดทะเบียนสะสมอยู่ที่ 32,081 คัน
    ยานยนต์ปลั๊กอินไฮบริด (PHEV) มียอดจดทะเบียนสะสมอยู่ที่ 42,415 คัน
    ยานยนต์ไฮบริด (HEV) มียอดจดทะเบียนสะสมอยู่ที่ 259,812 คัน

เมื่อจำนวนคนใช้น้อย บริษัทประกันก็ไม่มีตัวเลขสถิติมากพอให้คำนวณความเสี่ยงได้แม่นยำ การประเมินความเสียหายเมื่อรถไฟฟ้าเกิดอุบัติเหตุจึงยังไม่แน่นอน เลยทำให้บริษัทประกันต้องตั้งราคาสูงกว่าความเป็นจริง เพื่อบริหารจัดการความเสี่ยงทั้งต่อลูกค้าและบริษัทเอง และเพื่อทดแทนความเสี่ยงที่ยังไม่แน่นอนด้วย


2. ศูนย์บริการยังไม่ครอบคลุม

ศูนย์บริการรถไฟฟ้าในบ้านเรายังมีอยู่น้อยมากเมื่อเทียบกับอู่รถยนต์ทั่วไป พอถึงเวลาต้องซ่อมรถครั้งนึง ค่าใช้จ่ายเลยค่อนข้างสูง การซ่อม หรือการเบิกอะไหล่ทำได้ยาก และใช้เวลานานกว่าการซ่อมรถน้ำมันที่มีศูนย์บริการอย่างเป็นทางการมากมายในไทย


3. ค่าแรงและค่าอะไหล่สูง

ข้อนี้สัมพันธ์กับข้อ 2 เมื่อศูนย์บริการน้อย ปัญหาที่ตามมา คือหาอะไหล่รถได้ยากขึ้น บางครั้งศูนย์บริการอาจไม่ได้เก็บสต๊อกอะไหล่ไว้ และไม่ได้หาได้ตามตลาดเชียงกงเหมือนรถน้ำมันทั่วไป ต้องนำเข้าจากต่างประเทศ ค่าใช้จ่ายในการซ่อมแซมรถไฟฟ้าจึงแพงกว่ารถยนต์ทั่วไปเป็นเท่าตัว ดังนั้นบริษัทประกันจึงจำเป็นต้องคิดค่าเบี้ยประกันแพง เพื่อแบ่งเบาความเสียหายให้ได้มากที่สุด

ข้อนี้ยังเป็นปัจจัยเดียวกันที่ทำให้ประกันของรถยุโรป รถนำเข้า หรือรถ Luxury Car แพงมาก ๆ เช่นกัน เพราะค่าอะไหล่ ค่าชิ้นส่วนต่าง ๆ แพง ทำให้เวลารถเหล่านี้แจ้งเคลมทีนึง มีค่าใช้จ่ายสูงเหมือนกับรถไฟฟ้านั่นเอง


4. บริษัทประกันน้อยกว่า

ทุกวันนี้บริษัทประกันที่รับทำประกันรถไฟฟ้ายังมีอยู่แค่ไม่กี่เจ้า คู่แข่งในตลาดยังมีไม่เยอะ เพราะยังไม่เกิดการแข่งขันด้านราคาเหมือนในตลาดประกันรถยนต์ทั่วไป รวมถึงยังไม่สามารถกำหนดเพดานราคาได้ ราคาค่าเบี้ยประกันรถไฟฟ้าเลยแพงอย่างที่เห็น


ในอนาคตประกันรถไฟฟ้าจะถูกลงมั้ย

ถ้าในอนาคตมีคนใช้งานรถไฟฟ้ามากขึ้น เป็นไปได้ว่า เบี้ยประกันของรถไฟฟ้าจะมีราคาถูกลง เพราะเมื่อคนใช้รถไฟฟ้าเยอะ สิ่งที่ตามมาแน่ ๆ คือศูนย์บริการเพิ่มขึ้น พวกชิ้นส่วนอะไหล่ต่าง ๆ หาได้ง่ายขึ้น สถิติการใช้รถก็เพิ่มขึ้น ทำให้บริษัทประกันประเมินความเสี่ยงได้แม่นยำขึ้นเรื่อย ๆ เบี้ยประกันก็จะถูกปรับลงมาให้เหมาะสมกับความเสี่ยงอย่างชัดเจน

ยิ่งถ้ามีบริษัทประกันรถยนต์ออกมารับประกันรถไฟฟ้ามากขึ้น การแข่งขันด้านราคา โปรโมชันต่าง ๆ ก็จะตามมา บางเจ้าลด แลก แจก แถม จัดเต็ม  ผลประโยชน์เลยตกมาอยู่ที่ผู้ซื้อประกัน ตรงนี้ช่วยให้เหล่ากู๊ดดี้ประหยัดค่าใช้จ่ายไปได้อีกมาก

เทียบรถยนต์ไฟฟ้ากับรถน้ำมัน ทำไมต้องจ่ายเบี้ยประกันแพงกว่า อ่านบทความเพิ่มเติมคลิ๊กที่นี่ https://www.checkraka.com/car/?fuel_type=4078&quicksearch_order=306,DESC-326,ASC