“ภูมิคุ้มกัน” เปรียบเสมือนกำแพงด่านแรกที่ช่วยต้านทานเชื้อโรคไม่ให้เขารู้ร่างกาย และยังทำหน้าที่กำจัดเชื้อโรคที่เล็ดลอดเข้ามาได้ ซึ่งมีความสำคัญเป็นอย่างมากต่อสุขภาพ แต่หลายคนกลับมองข้ามไปโดยคิดว่าธรรมชาติของร่างกายก็ย่อมสร้างภูมิคุ้มกันได้ดีอยู่แล้ว คงไม่ต้องเสริมหรือทำอะไรเพิ่มเติม ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว! การที่ร่างกายจะสร้างภูมิคุ้มกันได้ดีและมากพอ สวนหนึ่งก็ต้องมาจากการดูแลสุขภาพในด้านต่างๆ ของเจ้าตัว โดยหนึ่งในตัวช่วยที่จะทำให้ภูมิคุ้มกันของเรามีมากขึ้นและแข็งแรงขึ้นได้นั้น ก็คือการได้รับวิตามินต่างๆ อย่างครบถ้วนและเพียงพอ ซึ่งสามารถทำได้หลายวิธี เช่น
1. การรับประทานอาหาร
การเลือกแหล่งอาหารที่ดี มีวิตามินชนิดต่างๆ สูง ย่อมมีส่วนช่วยในการเสริมสร้างภูมิต้านทานให้กับร่างกายได้ ไม่ว่าจะเป็น
วิตามินซี มีมากในผักและผลไม้สดต่างๆ ผักที่พบวิตามินซีมาก ได้แก่ ดอกกะหล่ำ กะหล่ำปม ขึ้นฉ่าย ต้นหอม ถั่วลันเตา ใบเผือก ใบมันสำปะหลัง ใบมะระจีน ผักกาดขาว ผักกาดเขียวปลี ผักโขม ผักคะน้า ผักชี ผักบุ้ง มะรุม ยอดมะม่วง และ ยอดมะละกอ เป็นต้น ส่วนผลไม้ที่มีวิตามินซีมาก ได้แก่ เชอร์รี่ ส้มต่างๆ มะนาว ฝรั่ง มะขามป้อม มะขามเทศ มะละกอ ส้มโอ และสตรอว์เบอร์รี เป็นต้น
วิตามินเอ ช่วยส่งเสริมการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน โดยแหล่งอาหารที่ดีที่ร่างกายสามารถดูดซึมและใช้ประโยชน์จากวิตามินเอได้สูง เช่น เครื่องในสัตว์ ไข่แดง นม ผลิตภัณฑ์จากนม และแหล่งอาหารรองลงมาจะได้จากพืช เช่น ผักใบเขียวเข้ม ผักและผลไม้สีเหลืองและส้ม เช่น ตำลึง ผักบุ้ง แครอท ฟักทอง มันเทศสีเหลือง มะละกอสุก
วิตามินดี มีหน้าที่สำคัญในการกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย (Immune System) โดยพบว่า T cell และ B cell ซึ่งเป็นเซลล์เม็ดเลือดขาวที่มีหน้าที่กำจัดสิ่งแปลกปลอมที่เข้ามาคุกคามร่างกาย มี Vitamin D Receptor หรือตัวรับที่ช่วยกระตุ้นเสริมภูมิทำให้กำจัดสิ่งแปลกปลอมได้ดี ไม่ว่าจะเป็นเชื้อแบคทีเรีย เชื้อไวรัส และกำจัดเซลล์มะเร็งได้ดียิ่งขี้นด้วย ปัจจุบันมีงานวิจัยมากมายที่สนับสนุนการให้วิตามินดีเสริมเพื่อช่วยต้านโรคมะเร็งต่างๆ เช่น มะเร็งลำไส้ใหญ่ (Colon Cancer) มะเร็งเต้านม (Breast Cancer) และมะเร็งต่อมลูกหมาก (Prostate Cancer) แม้ว่าปกติแล้วร่างกายจะสามารถสังเคราะห์วิตามินดีเองได้ใต้ชั้นผิวหนังผ่านการกระตุ้นจากรังสียูวีบี (Ultraviolet B ray) และการได้รับอาหารจำพวกปลาที่มีไขมัน Omega-3 เช่น ปลาแซลมอน ปลาทูน่า ปลาทู ปลาซาร์ดีน แต่มักจะไม่เพียงพอ
สังกะสี มีส่วนเกี่ยวข้องกับการเจริญเติบโตและแบ่งเซลล์ที่เกี่ยวข้องกับระบบภูมิคุ้มกัน รวมทั้งควบคุมการทำงานของเอนไซม์ที่เป็นกลไกหลักในการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย ซึ่งแหล่งอาหารที่ดีเมื่อพิจารณาจากปริมาณและการดูดซึมเพื่อนำไปใช้ประโยชน์แล้ว จะมีอาหารจำพวก เนื้อสัตว์และเครื่องใน หอยนางรม สัตว์ปีกและปลา และที่รองลงมา ได้แก่ ไข่ นม
2. การรับประทานวิตามินเสริมแบบเม็ด
เป็นการได้รับวิตามินเข้าสู่ร่างกายได้จำนวนมากในคราวเดียว เพราะเป็นการสกัดเอาวิตามินแบบเข้มข้นมาอัดรวมกันไว้ในรูปแบบวิตามินเม็ด ซึ่งการเลือกรับวิตามินแบบเม็ดต้องเลือกที่เหมาะสมกับร่างกายของเรา โดยปัจจุบันมีวิธีการตรวจดูว่าร่างกายเราขาดวิตามินตัวใด ด้วยการตรวจ “Micronutrients” ซึ่งจะช่วยให้เรารู้ว่า ในร่างกายของเราตอนนี้มีปริมาณวิตามินและแร่ธาตุต่างๆ มากน้อยแค่ไหน เพื่อเสริมส่วนที่ขาดให้เกิดความสมดุล
3. การดริปวิตามินเข้าสู่ร่างกาย
เป็นการฉีดวิตามินเข้าสู่ร่างกายโดยตรงผ่านทางเส้นเลือด ทำให้ได้รับวิตามินที่เข้มข้น จึงเห็นผลลัพธ์ที่เร็วกว่าการรับประทานวิตามินเม็ด การให้วิตามินทางหลอดเลือดสามารถกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันให้ต้านอนุมูลอิสระที่เข้ามาทำร้ายผิวและอวัยวะต่างๆ เป็นการบำรุงรักษาทั้งอวัยวะภายในและผิวพรรณภายนอก กระตุ้นการสร้างเม็ดเลือดขาว ปรับสมดุลให้ภูมิคุ้มกันของร่างกาย เหมาะกับคนทั่วไปที่อยากเสริมภูมิคุ้มกันให้ตนเองและผู้ที่อ่อนเพลีย ป่วยบ่อย หรือป่วยง่ายอยู่เป็นประจำให้แข็งแรงขึ้น
วิตามิน ถือเป็นสารอาหารที่มีความสำคัญต่อร่างกายเป็นอย่างมากในทุกช่วงอายุ และไม่ว่าจะตอนที่ร่างกายเป็นปกติ หรือตอนที่กำลังป่วย วิตามินมีหน้าที่สำคัญโดยตรงต่อการทำให้ร่างกายแข็งแรงขึ้น ซึ่งหากปล่อยให้ร่างกายขาดวิตามิน ภูมิคุ้มกันก็จะต่ำ ร่างกายจะอ่อนแอลง เจ็บป่วยได้ง่ายขึ้น ดังนั้นเราควรให้ความสำคัญในการรับวิตามินในแต่ละช่องทาง และไม่ควรละเลยที่จะดูแลตัวเองในการเสริมภูมิคุ้มกันให้กับร่างกาย เพื่อที่จะช่วยให้เรามีสุขภาพที่ดีอย่างยั่งยืน
เพิ่มภูมิต้านทาน ไม่เจ็บป่วย ด้วยการเสริมวิตามินที่จำเป็นให้กับร่างกาย อ่านบทความเพิ่มเติมคลิ๊กที่นี่ https://mmed.com/products/