แนะนำข้อมูล-การใช้สายยางให้อาหารสายยางในผู้ป่วยการใช้สายยางให้อาหาร (Tube Feeding หรือ Enteral Nutrition) เป็นวิธีการดูแลที่สำคัญและต้องใช้ความระมัดระวังอย่างสูงค่ะ เพื่อให้เกิดความปลอดภัยสูงสุดและมั่นใจว่าผู้ป่วยจะได้รับสารอาหารครบถ้วน
นี่คือข้อมูลที่สำคัญและแนวทางการปฏิบัติพื้นฐานที่คุณควรรู้เกี่ยวกับการใช้สายยางให้อาหารในผู้ป่วย:
💡 ข้อมูลเบื้องต้น: การใช้สายยางให้อาหารในผู้ป่วย
1. ความจำเป็นในการใช้สายยางให้อาหาร
วัตถุประสงค์หลักของการใช้สายยางคือ:
ป้องกันการสำลัก (Aspiration): ในผู้ป่วยที่มีภาวะกลืนลำบาก (Dysphagia) หรือไม่มีสติ สายยางเป็นวิธีที่ปลอดภัยในการนำอาหารเข้าสู่กระเพาะอาหารโดยตรง
รักษาภาวะโภชนาการ: เพื่อให้ผู้ป่วยได้รับ พลังงาน โปรตีน และสารอาหารที่ครบถ้วน ในกรณีที่ไม่สามารถรับประทานอาหารทางปากได้อย่างเพียงพอ
2. ชนิดของสายยางที่พบบ่อย
การเลือกใช้สายยางขึ้นอยู่กับระยะเวลาที่ต้องให้อาหาร:
ชนิดของสายยาง ตำแหน่งปลายสาย ระยะเวลาการใช้งาน
NG Tube (ทางจมูก) กระเพาะอาหาร ระยะสั้น (ไม่เกิน 4–6 สัปดาห์)
PEG/G-Tube (ทางหน้าท้อง) กระเพาะอาหาร ระยะยาว (นานกว่า 6 สัปดาห์)
3. หลักการสำคัญในการให้อาหาร (เพื่อความปลอดภัย)
การปฏิบัติตามหลักการเหล่านี้อย่างเคร่งครัดจะช่วยป้องกันภาวะแทรกซ้อนที่อันตรายได้:
จัดท่าศีรษะสูง: ต้องจัดผู้ป่วยในท่าศีรษะสูง 30–45 องศา ตลอดเวลาที่ให้อาหาร และคงท่าไว้อย่างน้อย 30–60 นาทีหลังเสร็จสิ้น
ควบคุมความเร็ว: ให้อาหารช้า ๆ ตามแรงโน้มถ่วง (ใช้เวลา 15–20 นาทีต่อมื้อ) ห้ามเร่งหรือดันลูกสูบเพื่อให้อาหารหมดเร็ว
ล้างสายอย่างสม่ำเสมอ: ต้องล้างสายยางด้วยน้ำสะอาด (Flushing) ทั้งก่อนและหลังให้อาหารและให้ยา เพื่อป้องกันการอุดตัน
ตรวจสอบสายยาง: ตรวจสอบรอยมาร์คของสายยาง ก่อนให้อาหารทุกครั้ง เพื่อยืนยันว่าสายยางยังอยู่ในตำแหน่งที่ถูกต้อง
4. การจัดการอาหารและสุขอนามัย
อุณหภูมิอาหาร: อาหารต้องเป็น อุณหภูมิห้อง เท่านั้น
ความสะอาด: ล้างมือให้สะอาดก่อนทุกขั้นตอน และอุปกรณ์ที่ใช้ต้องสะอาดและแห้งสนิท เพื่อป้องกันการปนเปื้อนเชื้อโรคเข้าสู่ร่างกายผู้ป่วย
หากมีข้อสงสัยเกี่ยวกับ การเตรียมอาหารปั่น หรือ การดูแลบริเวณรูเปิดของสาย (Stoma Care) สามารถสอบถามเพิ่มเติมได้เลยนะคะ